ตัวชี้วัดทางเทคนิค ใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและปรับเวลาการซื้อขายให้เหมาะสม ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดพลาดสัญญาณ
ในการลงทุน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็น 2 วิธีหลักในการวิเคราะห์ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลเฉพาะของปัจจัยพื้นฐาน เช่น รูปแบบธุรกิจและสถานการณ์ทางการเงินของบริษัท ในขณะที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด และการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงราคาผ่านตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ เพื่อที่จะวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ดี นักลงทุนจะต้องคุ้นเคยและใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอนนี้มาดูตัวชี้วัดทางเทคนิค การใช้งาน และข้อควรพิจารณากัน
ตัวชี้วัดทางเทคนิค หมายถึงอะไร?
ตัวชี้วัดทางเทคนิค คือ ข้อมูลเชิงปริมาณที่อ้างอิงจากราคาในอดีต และข้อมูลปริมาณการซื้อขายของหุ้นหรือตลาด ซึ่งคำนวณโดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์และใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงราคาในอนาคต ตัวชี้วัดทางเทคนิค ช่วยให้นักลงทุนและผู้ซื้อขายระบุแนวโน้มของตลาด ช่วงเวลาในการซื้อหรือขาย และจุดเปลี่ยนกลับของตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
ตัวชี้วัดทางเทคนิค สามารถแบ่งประเภทได้เป็นประเภทต่างๆ เช่น ตัวชี้วัดแนวโน้ม ตัวชี้วัดโมเมนตัม ตัวชี้วัดความผันผวน และตัวชี้วัดปริมาณ ตัวชี้วัดแต่ละประเภทให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน ตัวชี้วัดแนวโน้ม ช่วยระบุทิศทางโดยรวมของตลาด ตัวชี้วัดโมเมนตัม วัดความเร็วและความแรงของการเคลื่อนไหวของราคา ตัวชี้วัดความผันผวน ประเมินช่วงความผันผวนของตลาด และตัวชี้วัดปริมาณ ยืนยันความแรงของแนวโน้มและจุดเปลี่ยนที่เป็นไปได้ของตลาด การใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ร่วมกันช่วยให้วิเคราะห์สภาพตลาดได้อย่างครอบคลุมจากมุมมองที่หลากหลาย และปรับปรุงความแม่นยำของการตัดสินใจลงทุน
ตัวชี้วัดแนวโน้มหลัก ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average: MA), ดัชนีชี้นำเฉลี่ย (Average Convergence Index: ADX) และตัวชี้วัดที่บอกทิศทางแนวโน้มของราคาหุ้น (Moving Average Convergence Divergence: MACD) ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจทิศทางหลักของตลาดได้ในรูปแบบต่างๆ เพื่อพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แสดงแนวโน้มระยะยาวโดยการปรับข้อมูลราคาให้เรียบ ซึ่งช่วยยืนยันว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง ในทางกลับกัน ดัชนีชี้นำเฉลี่ย (Average Convergence Index: ADX) มุ่งเน้นไปที่การวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มตลาด การประเมินความต่อเนื่องของแนวโน้มและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
นอกจากนี้ตัวชี้วัดที่บอกทิศทางแนวโน้มของราคาหุ้น (Moving Average Convergence Divergence: MACD) ยังใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและระยะยาวร่วมกัน เพื่อให้ทราบถึงการเคลื่อนไหวของแนวโน้มตลาดและจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ การตัดกันของเส้น MACD กับเส้นสัญญาณ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในฮิสโทแกรม MACD ช่วยให้นักลงทุนระบุการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มและจังหวะเวลาของการซื้อและขายได้ การใช้ตัวบ่งชี้แนวโน้มเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจแนวโน้มของตลาดได้ชัดเจนขึ้นและปรับปรุงความแม่นยำของการตัดสินใจซื้อขายของตนได้
ตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพันธ์ (Relative Strength Index: RSI) และดัชนีสโตแคสติก (stochasticstochastic: KDJ) ส่วนใหญ่ใช้เพื่อวัดความเร็วและความแรงของการเคลื่อนไหวของราคา ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมในตลาด และช่วยในการปรับเวลาการซื้อและขายให้เหมาะสมที่สุด RSI ประเมินสถานะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปของตลาดโดยเปรียบเทียบแนวโน้มขาขึ้นโดยเฉลี่ยกับแนวโน้มขาลงโดยเฉลี่ยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งในทางกลับกันจะช่วยระบุจุดกลับตัวของราคาได้
ในทางกลับกัน KDJ เผยให้เห็นพื้นที่ที่ซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปในตลาดโดยการคำนวณความสัมพันธ์ระหว่างราคาสูงสุด ต่ำสุด และราคาปิดของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ตัวชี้วัดโมเมนตัมเหล่านี้ให้สัญญาณเกี่ยวกับตลาดที่ซื้อมากเกินไปหรือขาย ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจซื้อขายได้ในเวลาที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยงการเข้าและออกจากตลาดภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย
ตัวชี้วัดความผันผวน เช่น โบลินเจอร์แบนด์ (Bollinger Bands) และค่าเฉลี่ยความผันผวนที่แท้จริง (Average True Range : ATR) ถูกใช้เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจระดับความผันผวนในตลาด เพื่อที่พวกเขาจะได้พัฒนากลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสมยิ่งขึ้น โบลินเจอร์แบนด์ กำหนดระดับบนและล่างโดยการคำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของราคา ระดับเหล่านี้แสดงช่วงความผันผวนในตลาดและช่วยระบุสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปที่อาจเกิดขึ้นได้ ราคาที่แตะระดับบนและล่างของโบลินเจอร์แบนด์มักจะเป็นสัญญาณของจุดเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นในตลาด
ค่าเฉลี่ยความผันผวนที่แท้จริง (Average True Range : ATR) วัดขนาดของความผันผวนของราคาในช่วงเวลาหนึ่งและเป็นตัวบ่งชี้เชิงปริมาณของความผันผวนของตลาด การเพิ่มขึ้นของ ATR บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของความผันผวน ซึ่งอาจมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของการเคลื่อนไหวของราคา ในขณะที่การลดลงของ ATR บ่งชี้ถึงการลดลงของความผันผวนและราคาที่ลดลง การใช้ตัวชี้วัดความผันผวนทั้งสองนี้ทำให้ผู้ลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสของตลาดได้ดีขึ้น และด้วยเหตุนี้จึงปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขายของตนให้เหมาะสมที่สุด
ตัวชี้วัดปริมาณการซื้อขาย รวมถึงปริมาณการซื้อขายและเส้นสะสม/กระจาย (Accumulation/Distribution Line: ADL) ช่วยระบุความแข็งแกร่งของแนวโน้มและสัญญาณการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น ปริมาณการซื้อขายแสดงปริมาณการซื้อขายและช่วยกำหนดระดับความสอดคล้องของตลาดกับการเคลื่อนไหวของราคา โดยปกติแล้วการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายบ่งชี้ว่าแนวโน้มมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป ในขณะที่การลดลงอาจบ่งชี้ถึงการอ่อนตัวหรือการกลับตัวของแนวโน้ม
เส้นสะสม/การจัดส่งจะรวมการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายเพื่อเปิดเผยอำนาจการซื้อและการขายของตลาด เมื่อเส้นสะสม/การจัดส่งเพิ่มขึ้นแสดงว่ากำลังซื้อที่แข็งแกร่งและราคาอาจเพิ่มขึ้น เมื่อเส้นลดลงแสดงว่ากำลังขายที่เพิ่มขึ้นและความเสี่ยงด้านลบต่อตลาด เมื่อใช้ร่วมกันตัวบ่งชี้เหล่านี้จะช่วยให้ประเมินแนวโน้มและจุดกลับตัวของตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ตัวชี้วัดทางเทคนิคเหล่านี้ให้มุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสถานะของตลาด ช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของตลาดจากหลายมุมมอง ตัวชี้วัดแนวโน้มช่วยระบุทิศทางโดยรวมของตลาด ตัวชี้วัดโมเมนตัมวัดความแรงของการเคลื่อนไหวของราคา ตัวชี้วัดความผันผวนประเมินขอบเขตของตลาด และตัวชี้วัดปริมาณยืนยันความแรงของแนวโน้มและจุดเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้น โดยการรวมตัวชี้วัดหลายตัว นักลงทุนสามารถพิจารณาปัจจัยต่างๆในตลาดเพื่อให้ได้การวิเคราะห์ตลาดที่ครอบคลุมมากขึ้น และตัดสินใจในการซื้อขายอย่างมีข้อมูลและประสิทธภาพมากขึ้น
ตัวชี้วัดทางเทคนิคมีประสิทธิภาพเพียงใดในการซื้อขายหุ้น?
การวิเคราะห์ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีตทำให้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคกลายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการซื้อขายหุ้น เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุแนวโน้มตลาด กำหนดเวลาซื้อและขาย และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวบ่งชี้ทางเทคนิคจะให้ข้อมูลที่มีค่าแต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การล่าช้าและสัญญาณที่ผิดพลาด ดังนั้นจึงควรใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคร่วมกับวิธีการวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจลงทุน
ตัวชี้วัดทางเทคนิคมีข้อได้ดีอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการระบุแนวโน้ม ตัวอย่างเช่น เส้นค่าเฉลี่ย MA จะให้ข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มระยะยาวของตลาดโดยการปรับข้อมูลราคา ทำให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินทิศทางหลักของตลาดได้ดีขึ้น ตัวบ่งชี้เหล่านี้สามารถแนะนำนักลงทุนให้ติดตามแนวโน้มหรือปรับกลยุทธ์ในเวลาที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มความมีวิทยาศาสตร์และความแม่นยำในการตัดสินใจในการซื้อขาย
นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างสัญญาณซื้อและขาย ตัวอย่างเช่น ดัชนี RSI และตัวชี้วัด MACD สามารถให้สัญญาณที่ชัดเจนแก่ผู้ลงทุนในการซื้อหรือขาย สัญญาณเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำในช่วงเวลาที่เหมาะสม พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์การซื้อขายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ในขณะเดียวกัน ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคยังมีบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยงอีกด้วย ตัวบ่งชี้ความผันผวน เช่น โบลินเจอร์แบนด์ (Bollinger Bands) และ ตัวชี้วัด ATR สามารถประเมินความผันผวนของตลาดและช่วยให้นักลงทุนกำหนดจุดตัดขาดทุนและจุดทำกำไรที่เหมาะสมได้ เครื่องมือเหล่านี้สามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มความแข็งแกร่งของกลยุทธ์การลงทุน
ตัวชี้วัดปริมาณ มีบทบาทสำคัญต่อการยืนยันตลาด ตัวอย่างเช่น เส้นปริมาณและเส้นการสะสม/การกระจายสามารถช่วยยืนยันความถูกต้องของการเคลื่อนไหวของราคา ตัวบ่งชี้เหล่านี้สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินขอบเขตที่แท้จริงของแนวโน้ม และตัดสินใจซื้อขายได้แม่นยำยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตัวชี้วัดทางเทคนิคส่วนใหญ่คำนวณจากข้อมูลในอดีต จึงมักสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของตลาดในอดีต ดังนั้น นักลงทุนอาจไม่ได้รับสัญญาณจนกว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความล่าช้านี้อาจนำไปสู่ความล่าช้าในการตัดสินใจ ซึ่งอาจส่งผลต่อเวลาและประสิทธิผลของการลงทุน แม้ว่าตัวบ่งชี้ทางเทคนิคอาจเป็นข้อมูลอ้างอิงที่มีค่า แต่ในสภาพแวดล้อมตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักลงทุนควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์และวิธีการอื่นๆ เพื่อปรับปรุงความแม่นยำและความตรงเวลาของการตัดสินใจ
ข้อจำกัดอีกประการหนึ่งของตัวบ่งชี้ทางเทคนิค คือ อาจสร้างสัญญาณที่ผิดหรือทำให้เข้าใจผิดได้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีการผันผวน เนื่องจากตัวบ่งชี้ทางเทคนิคอาศัยข้อมูลในอดีตในการคำนวณ ตัวบ่งชี้จึงอาจให้สัญญาณซื้อและขายที่ผิดพลาดบ่อยครั้งเมื่อตลาดเคลื่อนไหวในแนวข้างหรือไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณที่ผิดพลาดเหล่านี้อาจทำให้ผู้ลงทุนทำการซื้อขายที่ไม่จำเป็น ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียได้
หนึ่งในข้อจำกัดของตัวบ่งชี้ทางเทคนิค คือ อาจแสดงผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ในตลาดที่มีความแข็งแกร่ง ตัวบ่งชี้บางตัวอาจมีประสิทธิภาพในการช่วยระบุแนวโน้มและสัญญาณซื้อและขาย ในขณะที่ในตลาดที่อ่อนแอหรือผันผวน ตัวบ่งชี้เหล่านี้อาจทำงานได้ไม่ดีและสร้างสัญญาณที่เข้าใจผิดได้ รูปแบบทางเทคนิคเดียวกันอาจส่งผลกระทบที่แตกต่างกันในสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเพียงตัวเดียวมักจะไม่สามารถสะท้อนความซับซ้อนของตลาดได้ทั้งหมด ดังนั้น การพึ่งพาตัวบ่งชี้เพียงตัวเดียวในการตัดสินใจอาจนำไปสู่การวิเคราะห์แบบด้านเดียว เพื่อให้ได้การประเมินตลาดที่แม่นยำยิ่งขึ้น นักลงทุนควรรวมตัวบ่งชี้แนวโน้ม โมเมนตัม ความผันผวน และปริมาณ รวมถึงวิธีการวิเคราะห์อื่นๆ เข้าด้วยกัน วิธีนี้ช่วยให้วิเคราะห์พลวัตของตลาดได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น ทำให้เพิ่มความแม่นยำและประสิทธิผลของการตัดสินใจ และลดความเป็นไปได้ที่จะเกิดการตัดสินใจผิดพลาดอันเนื่องจากข้อจำกัดของตัวบ่งชี้เพียงตัวเดียว
โดยรวมแล้ว ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการลงทุนในหุ้นเพื่อช่วยวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและการเคลื่อนไหวของราคา อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้แม่นยำยิ่งขึ้น ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ข่าวสารตลาด และกลยุทธ์การลงทุนส่วนบุคคล วิธีนี้จะช่วยให้การตัดสินใจมีความครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น โดยคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ความรู้สึกของตลาด และวัตถุประสงค์ในการลงทุน
เคล็ดลับสำคัญในการใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค
นักลงทุนสามารถคัดกรองหุ้นจากหุ้นหลากหลายประเภทเพื่อระบุหุ้นที่ตอบสนองสัญญาณทางเทคนิคเฉพาะได้โดยใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคต่างๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ดัชนี RSI และ ตัวชี้วัด MACD อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่ารูปแบบทางเทคนิคเดียวกันอาจทำงานแตกต่างกันในสภาพแวดล้อมตลาดของที่แตกต่างกัน ดังนั้น เมื่อใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคในการเลือกหุ้น จึงจำเป็นต้องทำการวิเคราะห์อย่างครอบคลุมร่วมกับแนวโน้มตลาดโดยรวมและผลการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเลือกหุ้น
ในตลาดที่มีความแข็งแกร่ง รูปแบบทางเทคนิค เช่น รูปแบบแท่งเทียน ( Morning Star ) หรือ Duck Head มักมีประสิทธิภาพดี โดยส่งสัญญาณว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในตลาดที่อ่อนแอ รูปแบบเหล่านี้อาจล้มเหลว และราคาอาจยังคงลดลงหรือเคลื่อนไหวในแนวข้าง ดังนั้น เมื่อใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค คุณจะต้องปรับกลยุทธ์ของคุณให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของตลาดเพื่อให้มั่นใจว่าการตัดสินใจลงทุนจะแม่นยำมากขึ้น
การคัดเลือกหุ้นจะยากขึ้นเมื่อตลาดอ่อนแอ แม้ว่าจะเลือกหุ้นที่แข็งแกร่งพร้อมรูปแบบที่ดี แต่การขึ้นของราคาหุ้นก็จำกัด เนื่องจากตลาดโดยรวมไม่ดี และหุ้นอาจเผชิญกับการขาดทุน นักลงทุนจำนวนมากในตลาดที่อ่อนแอมักไล่ตามหุ้นที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้ติดกับได้ง่ายเมื่ออยู่ที่ระดับสูง ดังนั้น จำเป็นต้องปรับตัวบ่งชี้ทางเทคนิคในตลาดที่อ่อนแอ เพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ตามหุ้นที่แข็งแกร่งในระยะสั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา
หุ้นที่แข็งแกร่งจะมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเมื่ออยู่ในตลาดที่แข็งแกร่ง หุ้นที่แข็งแกร่งมักจะดึงดูดผู้ติดตาม และแรงขับเคลื่อนหลักจะกล้าที่จะดึงราคาหุ้นให้สูงขึ้น ในช่วงเวลานี้หุ้นที่แข็งแกร่งมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหุ้นที่แข็งแกร่งก็จะแข็งแกร่งอยู่เสมอ ในกรณีนี้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคสามารถช่วยให้นักลงทุนคว้าโอกาสในตลาดได้โดยเฉพาะหุ้นที่แข็งแกร่งที่ไม่ยอมปรับตัว
ในการคัดเลือกหุ้นทางเทคนิค ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นที่นิยมใช้ ได้แก่ เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน, 10 วัน และ 20 วัน โดยราคาหุ้นที่ทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน มักบ่งชี้ถึงโมเมนตัมขาขึ้นในระยะสั้น และหากการทะลุนี้มาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น จะสะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของตลาดต่อหุ้นนั้น สำหรับหุ้นที่มีราคาอยู่ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันและ 10 วัน การดีดตัวกลับหลังจากถอยกลับไปที่เส้นค่าเฉลี่ย 10 วันอาจบ่งบอกว่าหุ้นตัวนั้นได้ผ่านการปรับฐานระยะสั้นและคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไป และเมื่อกลับไปที่เส้นค่าฉลี่ย 20 วัน จำเป็นต้องวิเคราะห์หุ้นอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาหุ้นอยู่ในระดับสูง เพราะการย้อนกลับมาแตะเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันอาจเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน
เส้นค่าเฉลี่ย SMA 20 วันเป็นระดับแนวรับสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิคแสดงถึงต้นทุนเฉลี่ยของหุ้นในระยะหนึ่งเดือน โดยปกติ หุ้นที่แข็งแกร่งมักจะไม่ตกลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน และเมื่อราคาหุ้นตกลงต่ำกว่านั้นอาจกระตุ้นให้เกิดการขายจากนักลงทุนรายย่อยที่มีแนวคิดเชิงเทคนิค ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาด ดังนั้น แรงกระตุ้นหลักมักจะหลีกเลี่ยงไม่ให้หุ้นตกลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด ในการเลือกหุ้นทางเทคนิคนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการที่ราคาหุ้นสามารถทรงตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันได้หรือไม่ เพื่อที่จะสามารถจับโอกาสการลงทุนได้ดียิ่งขึ้นและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
เมื่อใช้ดัชนี RSI สำหรับการเลือกหุ้น ควรให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว ตัวอย่างเช่น เส้น RSI ของ NVIDIA ยังคงเคลื่อนไหวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง แม้ในช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวในวงกว้าง ซึ่งหมายความว่าหุ้นยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่มั่นคงท่ามกลางความผันผวนของตลาด และตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนระยะยาว
นอกจากนี้ ควรมองหาหุ้นที่ราคาหุ้นยังไม่ทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่เส้นความแข็งแกร่งสัมพันธ์นั้นกลับสูงกว่าจุสถิติสูงสุดก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งมักจะบ่งชี้ถึงความสนใจในการซื้อหุ้นที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นในอนาคต หุ้นอย่าง Sientra และ DocuSign ในปี 2020 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งสัมพันธ์นี้ส่งผลให้หุ้นดังกล่าวทำสถิติสูงสุดใหม่ได้
เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในการลงทุนของแต่ละบุคคลมากขึ้น นักลงทุนสามารถปรับตัวบ่งชี้ความแข็งแกร่งสัมพันธ์สำหรับรอบการลงทุนที่แตกต่างกันได้ ตัวอย่างเช่น สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว สามารถตั้งค่าเส้นค่าเฉลี่ยเป็น 50 หรือ 200 วันเพื่อลดการรบกวนสัญญาณจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้น และจับการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของหุ้นได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ความสำเร็จของการเลือกหุ้นทางเทคนิคไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบ่งชี้เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมทั่วไปของตลาดและเงื่อนไขเฉพาะของหุ้นแต่ละตัวด้วย เมื่อใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค นักลงทุนต้องมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและปรับกลยุทธ์เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ตัวบ่งชี้แบบอัตโนมัติ ในขณะเดียวกัน การควบคุมความเสี่ยงก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดอ่อนแอหรือหุ้นแต่ละตัวมีราคาสูง คุณควรระมัดระวังความเสี่ยงของการปรับฐานและทำการหยุดกำไรหรือหยุดขาดทุนให้ทันท่วงที
ชื่อตัวบ่งชี้ | การประยุกต์ใช้ | ข้อควรระวัง |
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average: MA) | นำมาประยุกต์ใช้เพื่อระบุแนวโน้มในระยะยาว | ระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณล่าช้า |
ดัชนีชี้นำเฉลี่ย (Average Convergence Index: ADX) | การวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม | หลีกเลี่ยงตลาดที่มีการผันผวน |
ตัวชี้วัดที่บอกทิศทางแนวโน้มของราคาหุ้น (Moving Average Convergence Divergence: MACD) | ระบุแนวโน้มและการกลับตัว | ระวังสัญญาณผิดพลาด |
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพันธ์ (Relative Strength Index: RSI) | วัดระดับซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป | ปรับช่วงเวลาให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด |
ดัชนีสโตแคสติก (stochasticstochastic: KDJ) | เปิดเผยพื้นที่ซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป | หลีกเลี่ยงการใช้งานในทางที่ผิดในตลาดที่มีการผันผวน |
โบลินเจอร์แบนด์ (Bollinger Bands) | ประเมินช่วงความผันผวนของตลาด | ตรวจสอบความถูกต้องของสัญญาณในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง |
ค่าเฉลี่ยความผันผวนที่แท้จริง (Average True Range : ATR) | การวัดความผันผวนของตลาด | ตั้งจุดหยุดขาดทุนและปรับตามความผันผวน |
ปริมาณ | การยืนยันความแข็งแกร่งของกระแส | หลีกเลี่ยงสัญญาณที่มีระดับปริมาณต่ำ |
เส้นสะสม/กระจาย (Accumulation/Distribution Line: ADL) | ระบุแรงซื้อและแรงขาย | สังเกตการจับคู่ของการดำเนินการราคา |
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ