ในการสัมภาษณ์พิเศษกับ Finance Magnates เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน David Barrett ซีอีโอของ EBC Financial Group (UK) Ltd.
ความท้าทายหลายประการในปี 2566 เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และอัตราดอกเบี้ยโลกที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางการเงินโลกก้าวไปสู่ระดับใหม่ และนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม โอกาสทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังกำหนดรูปแบบใหม่ของยุคสมัยที่เราอาศัยอยู่ด้วย และอาจนำไปสู่ทิศทางใหม่ของเศรษฐกิจโลก
เมื่อเร็วๆ นี้ David Barrett CEO ของ EBC Financial Group (UK) Ltd ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Finance Magnates ซึ่งเป็นสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ข้อมูลการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์หลักของตลาด
David Barrett มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับกลุ่มการเงินระหว่างประเทศ เช่น AIG, NatWest Bank, CLSA, ABN AMRO และ Nomura Securities ในสหรัฐอเมริกา เขามีประสบการณ์มากกว่า 35 ปีในด้านการจัดสรรการกระจายสินทรัพย์ระหว่างประเทศและการป้องกันความเสี่ยงในเชิงโครงสร้าง เขามีประสบการณ์ผ่านสถานการณ์ตลาดโลกมาหลายรูปแบบและมีประสบการณ์อื่นๆมากมาย รวมถึงมีประสบการณ์อย่างกว้างขวางในการดำเนินการด้านกฎระเบียบทางการเงินและได้รับใบประกาศรับรองทางวิชาชีพจาก FCA หลายใบ ในฐานะ CEO ของ EBC UK เดวิดมุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่โซลูชั่นการซื้อขายระดับสูงสุด สร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ และมอบสภาพแวดล้อมการซื้อขายที่แข็งแกร่งที่สุดให้แก่ผู้ใช้บริการ สร้างความปลอดภัย ความเป็นมืออาชีพ มีเสถียรภาพ และมีประสิทธิภาพ บรรลุจุดประสงค์หลักอันเป็นเอกลักษณ์ของ EBC ในฐานะผู้ให้บริการการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศชั้นนำของโลก
Finance Magnates คือ ศูนย์รวมคิดทางการเงินชั้นนำของโลก มีช่องทางการสื่อสารและข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยมุ่งเน้นที่สาขาการเงินที่ล้ำหน้าและให้บริการนักลงทุนด้วยการวิเคราะห์ช่วยการตัดสินใจเชิงลึกอย่างเป็นมืออาชีพ ในฐานะตัวกลางเผยแพร่ข่าวสารทางการเงินชั้นนำระดับนานาชาติ Finance Magnates ได้รับโอกาสเป็นผู้นำการประชุมสุดยอดทางการเงินที่ทรงอิทธิพลหลายครั้งและเป็นหนึ่งในผู้ให้การสนับสนุนที่สำคัญของความซับซ้อนทางระบบนิเวศวิทยาทางการเงินระดับโลก
Financial Magnates:
เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณ David Barrett CEO ของ EBC (UK) สถานการณ์ตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน จากการประเมิณสถานการณ์ในตอนนี้คุณเดวิดคิดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปหรือไม่? และจะส่งผลต่อสินทรัพย์ต่างๆ อย่างไร?
David Barrett:
แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้นเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี2565 ตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากประสบปัญหาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกาถึง 11 ครั้ง แม้ว่าหลายคนจะเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันนั้นสูงมากก็ตาม ซึ่งเมื่อพิจารณาเทียบกับข้อมูลในอดีตอัตราดอกเบี้ยจะปรับสูงขึ้นกว่าระดับอัตราดอกเบี้ยปกติในตลาดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเท่านั้น
ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับมุมมองของเฟดที่จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว แต่เมื่อพิจารณาถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อรอบใหม่ที่อาจเกิดขึ้นและความเสี่ยงทั่วโลกที่เข้มข้นในช่วงนี้ ผมเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงสูงขึ้นต่อไปอีกสักระยะทีเดียว
ภายใต้อิทธิพลของอัตราดอกเบี้ยที่สูง สถานการณ์ภูมิศาสตร์ทางการเมืองและอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ความเสี่ยงด้านตลาดมีความซับซ้อนมากกว่าที่คาดไว้ ปัจจุบันตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีสัญญาณอ่อนตัวแล้ว แต่เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบระยะยาวจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ผมไม่คิดว่าตลาดจะมีราคาที่ติดลบแบบเต็มจำนวน
ในทางตรงกันข้าม เมื่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยปลอดความเสี่ยงในปัจจุบันจึงสูงถึง 5% ซึ่งทำให้ผลตอบแทนเงินสดเป็นน่าสนใจยิ่งขึ้น
Financial Magnates:
หลังสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งของ ปาเลสไตน์-อิสราเอลเกิดขึ้น สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะส่งผลต่อการเลือกลงทุนและการจัดสรรสินทรัพย์หรือไร ?
David Barrett:
อัตราดอกเบี้ยปลอดความเสี่ยงรับประกันผลตอบแทนเงินสด 5% ซึ่งจะทำให้นักลงทุนพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้นว่าจะแบกรับความผันผวนของราคาและความเสี่ยงที่ใกล้เคียงกันในอดีตหรือไม่? ส่วนตัวผมจะพิจารณาถึงการลดความเสี่ยง และเพิ่มการจัดสรรเงินสด ซึ่งในช่วงก่อนสิ้นปีต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ผมคิดว่าในช่วงปีนี้ สินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่ามูลค่าในตลาดอย่างมากอาจสามารถเห็นได้ว่ามีการขายเพื่อทำกำไรมากขึ้น เช่น หุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เจ็ดแห่งในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีการกระจุกตัวกันมาก การปรับราคาไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตามจะทำให้เกิดความผันผวนที่ผิดปกติ
Financial Magnates:
คุณเดวิดคิดว่าราคาน้ำมันจะแตะถึงระดับ 100 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2566 หรือไม่? และจะเป็นการเร่งการลงทุนในผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงพลังงานทดแทนฟอสซิลหรือไม่ ?
David Barrett:
ก่อนสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองทั่วโลกจะปะทุขึ้น การลดการผลิตของ OPEC ได้ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แนวโน้มราคาน้ำมันในปัจจุบันส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับว่ามีความเสี่ยงที่เกิดจากวิกฤตการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตัวแปรที่ส่งผลกระทบให้เกิดความผันผวนของราคาน้ำมันอย่างรุนแรง
ราคาของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและส่วนประกอบใหม่ แต่ส่วนตัวผมคิดว่านี่เป็นเพียงการเก็งกำไรในระยะสั้นเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นแผงโซล่าเซลล์ ยานพาหนะไฟฟ้า ไฮโดรเจน หรืออื่นๆ ก็ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะสั้นได้ ล้วนเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในระยะยาว
การจัดสรรการลงทุนด้านเทคโนโลยีสีเขียวส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลและอัตราผลตอบแทน ดังนั้นตลาดที่มีเงินสดจำนวนมากในงบดุลและเงินอุดหนุนที่มากกว่าจึงมีแนวโน้มที่จะดึงดูดความสนใจหน่วยงานของนักลงทุนได้มากกว่า
Finance Magnates:
เมื่อเราเข้าสู่ปี 2567 อัตราเงินเฟ้อจะยังคงเป็นข้อพิจารณาหลักในการตัดสินใจลงทุนหรือไม่?
David Barrett:
ผมเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนไปข้างหน้าในตลาดส่วนใหญ่ ไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เป็นอย่างน้อย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมามีผลเป็นไปตามที่คาดหวัง และสถานการณ์ตลาดที่คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่กลางปีเป็นต้นไป หากอัตราเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวลง สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอาจจะสามารถกลับมาอุทธรณ์ได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงมาก เช่น อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานดื้อดึงเกินที่คาดการณ์ไว้ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง รัสเซีย และยูเครน ยังสามารถส่งผลกระทบผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นได้ง่าย ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ และการเลือกตั้งทั่วไปในสหรัฐฯ ในรอบ 12 เดือนนี้ ซึ่งทั้งหมดอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในตลาดได้
Finance Magnates:
หลังจากภาคภาคเทคโนโลยีมีการปรับฐานมาแล้ว 2 เดือน สถานการณ์ปัจจุบันของภาคเทคโนโลยีมีมูลค่าที่สมเหตุสมผลหรือไม่? และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะลงทุนหรือยัง?
David Barrett:
หุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งเจ็ดแห่งในสหรัฐอเมริกาทำให้ดัชนีดูค่อนข้างผิดเพี้ยนไปในปีนี้ และการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีแรกเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ ทำให้สถานการณ์หุ้นทั่วโลก ทั้งหุ้นเทคโนโลยีในเอเชียและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆ บางส่วนยังคงตามไม่ทัน
ในช่วงฤดูกาลการรายงานทางการเงินแสดงให้เห็นว่าจนถึงขณะนี้มีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่บางแห่งเท่านั้นที่มีการคาดการณ์แนวทางที่ชัดเจนในปี 2567 ซึ่งราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะไม่มีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งที่เหลือของปี 2566 ผมเชื่อว่าภาคเทคโนโลยียังต้องจับตาดูอย่างระมัดระวัง เนื่องจากมีมูลค่าการลงทุนมากกว่าในภาคอื่นๆ
ช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอาศัยเงินทุนฟรีเป็นหลัก สำหรับผมคิดว่ายักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีรายใหญ่เจ็ดบริษัทในสหรัฐอเมริกานั้นเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีก็ยังต้องเผชิญกับต้นทุนแบบลองผิดลองถูกที่สูงกว่ากระบวนการสร้างนวัตกรรมที่จำเป็น ซึ่งเพราะเหตุนี้อาจทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมต้องหยุดชะงักลง
ในส่วนความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมคิดว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีทั้งเจ็ดบริษัทสามารถได้รับประโยชน์จากตลาดได้ เนื่องจากงบดุลที่แข็งแกร่งของพวกเขาทำให้พวกเขารับมือต่อมรสุมที่เข้ามาได้ดีกว่าบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็ก เมื่อต้นทุนเงินทุนของการผลิดนั้นสูงขึ้น
Finance Magnates:
เราเห็นการมีบทบาทมากขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ (Generative AI) และการนิยมนำเทคโนโลยี AI มาใช้มากขึ้นในทุกการซื้อขายในปี 2566 การซื้อขายโดยระบบอัลกอริทึมก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงและกำลังเติบโตเช่นกัน มันเป็นแนวโน้มที่ดีหรือข้อเสียอย่างไร หากเทรดเดอร์หันมาใช้การซื้อขายผ่านระบบอัลกอริทึมมากขึ้น?
David Barrett:
ในขณะนี้ เราขอแนะนำให้ลูกค้ารายย่อยส่วนใหญ่ซื้อขายโดยใช้อัลกอริธึม ไม่ว่าจะเป็นการ copy trading หรือการซื้อขายกับ EA ในฐานะโบรกเกอร์ที่มองเห็นกระแสแบบนี้ผ่านลูกค้าของเรา เห็นได้ชัดว่ามันสร้างสัญชาตญาณในการลงทุน ในการซื้อขายหลายๆ ครั้ง เราจะเห็นลูกค้าจำนวนมากที่มีการเทรดรูปแบบเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน แม้กระทั่งจังหวะการเข้าและออกอาจใกล้เคียงกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนอยู่ตลอด
ลูกค้าสถาบันใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการเป็นหลัก พยายามหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวของตลาดในเชิงทางลบ ในขณะที่สภาพตลาดเชิงลบนั้นก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อความผันผวนของตลาดนั้นรุนแรงขึ้น ผู้ใช้บริการในสถาบันให้สภาพคล่องจำนวนมากแก่ตลาด พวกเขาจะคาดหวังว่าราคาที่ลดลงและยังคงมีเสถียรภาพเป็นระยะเวลานานขึ้น เพื่อต้านทานความเสี่ยงระยะสั้นให้ได้มากที่สุด และรับสภาพคล่องแบบสองทางผ่านเครื่องมืออัลกอริธึม เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และลดต้นทุนแรงเสียดทานในการป้องกันความเสี่ยง
ในความเป็นจริง หลังจากสถานการณ์ความผันผวนที่สำคัญในตลาดตราสารหนี้เมื่อที่ผ่านมาเร็วๆ นี้ สถานการณ์ในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน และในทางตรงกันข้าม ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจะได้รับประโยชน์จากความผันผวนและการบริหารความเสี่ยง โดยทั่วไปแล้วจะมีเสถียรภาพมากกว่าตลาดอื่น
อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นรวมกับปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นปัจจัยที่ส่งสัญญาณของสถานการณ์ตลาดในอีกระยะหนึ่ง
ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางการเงินโลกนั้นทวีความรุนแรงขึ้น
โดยภาพรวมแล้วการจัดสรรเงินทุนทั่วโลกจะเข้าสู่ช่วงที่มีความผันผวนสูงในช่วงการประเมินมูลค่าและส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย ภายใต้ปัจจัยหลายประการสินทรัพย์ไร้ความเสี่ยงและประเภทสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าจะกลายเป็นเป้าหมายสินทรัพย์คุณภาพสูงกว่าในวงจรตลาด
ในยุคแห่งความขึ้นๆ ลงๆ และความไม่แน่นอน EBC ยึดมั่นในหลักการของความซื่อสัตย์และความเคารพผู้ใช้บริการเรามาโดยตลอด และมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือสำหรับผู้ชื่นชอบการซื้อขายทุกคนและร่วมกันสำรวจค้นหาคำตอบที่ถูกต้องและแม่นยำ เราให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่เทรดเดอร์ทุกคนให้ความสำคัญและให้การบริการที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและความหวังทุกครั้ง
EBC เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า นักเทรดที่ "จริงจัง" ควรได้รับการบริการที่ "จริงจัง" จากเรา
ตามหลักการของความซื่อสัตย์และความเคารพ EBC มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือของผู้ที่ชื่นชอบการซื้อขายทุกคน และร่วมกันสำรวจคำตอบที่แม่นยำเราให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่เทรดเดอร์ทุกคนเห็นคุณค่าและให้การบริการที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและความหวังทุกครั้ง ตลาดการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและ EBC มุ่งมั่น เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า นักเทรดที่ "จริงจัง" ควรได้รับการบริการที่ "จริงจัง" จากเรา.