ตำแหน่ง Long หรือ Long Position เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่คาดว่าราคาตลาดหรือสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น จึงเข้าซื้อเพื่อทำกำไรในช่วงขาขึ้น
สำหรับคนที่ติดตามตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือรายงานการลงทุน น่าจะคุ้นกับคำศัพท์ทางการเงินที่ใช้บ่อย อย่างคำว่า ""Long"" หรือการ ""เปิดตำแหน่ง Long"" คำว่า ""Long"" ในที่นี้ไม่ได้แปลว่ายาว แต่หมายถึงการคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์จะสูงขึ้น จึงเข้าซื้อสินทรัพย์นั้นไว้เพื่อทำกำไรในอนาคตเมื่อราคาปรับตัวขึ้น
วันนี้เราจะมาเจาะลึกว่า ""ตำแหน่ง Long"" คืออะไร เพื่อให้ผู้ที่สนใจการลงทุนเข้าใจกลยุทธ์นี้มากขึ้น
คำว่า "Bullish" ใช้เรียกสถานะของตลาดที่นักลงทุนมีมุมมองว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น หรือองค์กรลงทุนคาดว่าราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น นั้นแสดงว่า ตลาด Bullish หรือ มองตลาดในแง่ดี ทำให้นักลงทุนเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนโดยการซื้อสินทรัพย์ เช่น หุ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ เพื่อทำกำไรจากการปรับขึ้นของราคานั่นเอง
ในตลาดหุ้น นักลงทุนอาจเข้าซื้อหุ้นโดยคาดหวังว่าราคาจะปรับขึ้นและสามารถขายในราคาที่สูงขึ้น ส่วนในตลาดฟิวเจอร์ส นักลงทุนอาจซื้อสัญญาล่วงหน้าโดยหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน และสามารถขายได้กำไรเมื่อสัญญาหมดอายุ กลยุทธ์เหล่านี้สอดคล้องกับมุมมองเชิงบวกหรือ "ตลาดกระทิง" เพราะนักลงทุนเชื่อว่ามูลค่าของสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น
เช่น ถ้าคุณซื้อหุ้นที่ราคา 10,000 ดอลลาร์ และราคาหุ้นนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่เรียกว่า "แนวโน้มขาขึ้น" หรือ "ตลาดกระทิง" ซึ่งในวัฒนธรรมตะวันตก สัญลักษณ์ของวัว แสดงถึงความมั่งคั่งและการเติบโตมาตั้งแต่โบราณ เพราะวัวเป็นสัตว์ที่มีมูลค่าและเขาของวัวก็มักชี้ขึ้น จึงใช้คำว่า "ตลาดกระทิง" เพื่อสื่อถึงการเติบโตและการเพิ่มขึ้นของมูลค่า
ตรงกันข้าม หากราคาหุ้นตก นักลงทุนจะถอนเงินลงทุนออก ทำให้เงินในตลาดหุ้นลดลงเรื่อยๆ ซึ่งเรียกว่า "Short" ในกรณีนี้ หากคุณซื้อหุ้นมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ แล้วราคาหุ้นลดลงเรื่อยๆ มูลค่าของหุ้นก็จะลดลงเช่นกัน เงินลงทุนของคุณจะสูญหายไปเรื่อยๆ จนทำให้พอร์ตคุณเป็นศูนย์การเคลื่อนไหวขาลงนี้ในตะวันตกเรียกว่า "Bearish" หรือว่า "ตลาดหมี" เนื่องจากหมีมักโจมตีด้วยการตะปบลงจากด้านบน คล้ายกับราคาที่ตกลง จึงใช้คำว่า ตลาดหมี เพื่อแสดงถึงภาวะตลาดที่มูลค่าลดลง
โดยทั่วไป ตลาดหุ้นมักถูกเปรียบเทียบกับดัชนีตลาดหลัก เพื่อใช้เป็นเกณฑ์วัดว่าแนวโน้มของตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง ถ้าดัชนีตลาดหลักมีค่าเพิ่มขึ้นและเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงสุดเมื่อดูแบบรายไตรมาส เราจะเรียกว่าตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือ "ตลาดซื้อ" ในช่วงเวลานี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ซื้อหุ้นมักจะได้รับผลกำไร ซึ่งช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นในตลาด ทำให้ความมองโลกในแง่ดีของนักลงทุนคงอยู่ต่อไปได้ง่าย
เมื่อตลาดอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยรายไตรมาสและมีแนวโน้มลดลง มักเรียกว่าตลาดขาลงหรือ short หมายความว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่เพิ่งซื้อหุ้นมีโอกาสขาดทุน ตลาดในสถานการณ์นี้มักจะเต็มไปด้วยความกังวลและมุมมองเชิงลบ
ในตลาดการลงทุน คำว่า "bullish" หมายถึงการมองโลกในแง่ดีต่อตลาดหรือสินทรัพย์ ซึ่งนักลงทุนคาดว่าราคาจะขึ้น ในทางตรงกันข้าม "bearish" หมายถึงการมองในแง่ลบ ซึ่งคาดว่าราคาจะลดลง ตัวอย่างที่ได้ยินบ่อย ๆ เช่น การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ถือว่าเป็นข่าวดี (bullish) สำหรับตลาดหุ้น เพราะมีแนวโน้มว่าจะช่วยดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น แต่หากมีข่าวร้าย เช่น บริษัท Amazon ประกาศผลประกอบการที่แย่ลงเมื่อไม่กี่วันก่อน นักลงทุนมองว่าเป็นข่าวร้าย (bearish) ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของ Amazon ร่วงลงอย่างรวดเร็ว
อีกสิ่งที่มักได้ยินคือการ "ซื้อ" หรือ "ขาย" ซึ่งการซื้อในระยะยาว หมายถึง การลงทุนด้วยมุมมองเชิงบวก (กระทิง) คือคาดหวังว่าราคาจะขึ้น เพื่อจะได้ขายทำกำไรในอนาคต
ในทางตรงข้าม การ "ขายชอร์ต" หรือ "Short" เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในตลาดที่นักลงทุนมองในแง่ลบ (ภาวะหมี) กล่าวคือ นักลงทุนจะยืมหุ้นจากบริษัทนายหน้ามาขายก่อนในราคาปัจจุบัน แล้วรอจนราคาลดลงค่อยซื้อกลับคืนเพื่อคืนให้กับนายหน้า ซึ่งทำให้ได้กำไรจากส่วนต่างของราคาขายและราคาซื้อกลับคืน
กลยุทธ์นี้จึงเรียกว่า "ขายชอร์ต" และเรามักจะได้ยินว่านักลงทุนบางคนต้องการชอร์ตบริษัท ชอร์ตที่ดิน ดอลลาร์ ทองคำ หรือน้ำมัน โดยขายตอนที่คาดหวังว่าราคาจะลดลงเพื่อจะซื้อกลับคืนในราคาที่ต่ำลง ทำให้มีกำไร
อีกสิ่งหนึ่งที่มักได้ยินคือการ "ซื้อ" หรือ "ขาย" โดยเมื่อราคาหุ้นหรือดัชนีเพิ่มสูงขึ้น การเปิดสถานะ Long มากขึ้นเรียกว่า "การซื้อ"
คำที่สี่ที่มักได้ยินคือ "ฝั่ง Long" และ "ฝั่ง Short" ซึ่ง ฝั่ง Long หมายถึง การมองโลกในแง่ดี คาดหวังว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น ส่วน ฝั่ง Short คือการมองโลกในแง่ลบ โดยคาดว่าตลาดหุ้นหรือราคาหุ้นจะลดลง
ด้าน | คำนิยาม | ผลงาน |
Bullish | นักลงทุนที่คาดหวังว่าตลาดจะขึ้น | กำไรจากการแกว่งขึ้น ขาดทุนในช่วงขาลง |
Bearish | นักลงทุนที่คาดว่าตลาดจะตก | ขาดทุนจากการแกว่งขึ้น กำไรเมื่อขาลง |
การจัดตำแหน่งและการบริหาร
เมื่อมีนักลงทุนหรือสถาบันจำนวนมากในตลาดที่อยู่ในฝั่งซื้อ จะเกิดการจัดตำแหน่งระยะยาวขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในสินทรัพย์นั้นและคาดหวังว่าราคาจะสูงขึ้น สิ่งนี้สะท้อนถึงบรรยากาศที่เป็นบวกและมีแรงซื้อที่แข็งแกร่งในตลาด ดังนั้น นักลงทุนมักวิเคราะห์เพื่อประเมินถึงความแข็งแกร่งและทิศทางของตลาดที่มีแนวโน้มจะเคลื่อนไป
การจัดการระยะยาว หมายถึง การวางแผนและดูแลการลงทุนหรือกลยุทธ์การซื้อขายอย่างใกล้ชิด โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าการลงทุนในสถานะที่มองว่าตลาดจะขึ้น (สถานะกระทิง) นั้นไม่ได้เสี่ยงเกินไป โดยอาจต้องกำหนดจุด Stop-Loss ที่เหมาะสม และใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อติดตามและจัดการความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ควรจัดสรรขนาดการลงทุนให้เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตถูกกระทบจากความผันผวนที่ไม่คาดคิด การจัดการสถานะยังหมายถึงการมีเงินทุนเพียงพอเพื่อรองรับการลงทุนในทิศทางที่ต้องการ และสามารถเพิ่มเงินตามที่ต้องการได้หากมีข้อกำหนดมาร์จิ้น
ทำการวิเคราะห์เชิงลึกของตลาดเพื่อตัดสินใจปรับเปลี่ยนการลงทุนในสถานะกระทิงอย่างรวดเร็ว โดยใช้การผสมผสานระหว่าง วิเคราะห์ทางเทคนิค พื้นฐาน และความเชื่อมั่นของตลาดเพื่อให้การตัดสินใจมีข้อมูลที่รอบด้าน กำหนดการลงทุน ไม่เพียงในประเภทสินทรัพย์ที่ต่างกันเท่านั้น แต่ยังกระจายความเสี่ยงภายในประเภทสินทรัพย์เดียวกันด้วย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการพึ่งพาภาคส่วนหรือสินทรัพย์เดียว และทำให้พอร์ตการลงทุนมีความมั่นคงมากขึ้น
ตำแหน่งการลงทุนในพอร์ตจะได้รับการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนและสภาวะตลาด หากตลาดมีการเปลี่ยนแปลงก็อาจต้องปรับตำแหน่งเหล่านี้ด้วย โดยรวมแล้วเป็นกระบวนการที่ครบวงจร ซึ่งพิจารณาปัจจัยหลายอย่างและจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้การลงทุนระยะยาวประสบความสำเร็จ
ความแตกต่างของตำแหน่ง Long
ความแตกต่างของตำแหน่ง Long คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งบ่งบอกว่าแนวโน้มราคาบนกราฟแตกต่างจากแนวโน้มของตัวบ่งชี้ทางเทคนิค สิ่งนี้อาจหมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในตลาด เช่น ราคาตลาดอาจสร้างจุดต่ำสุดใหม่ แต่ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคกลับสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน สถานการณ์นี้อาจบ่งบอกว่าโมเมนตัมขาขึ้นของตลาดเริ่มเกิดขึ้น และอาจมีการกลับตัวของราคาในอนาคต
โดยทั่วไปแล้ว ความแตกต่างของตำแหน่ง Long จะมีลักษณะเฉพาะคือ ราคาตลาดสร้างจุดต่ำสุดใหม่ ในขณะที่ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่สัมพันธ์กับราคา เช่น Relative Strength Indicator (RSI) หรือ Stochastic (KDJ) กลับสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน นั่นหมายความว่า แม้ว่าราคาจะลดลงไปแตะระดับต่ำสุดใหม่ แต่ตัวชี้วัดทางเทคนิคยังคงแสดงสัญญาณที่แข็งแกร่งหรือเป็นบวกอยู่ สิ่งนี้อาจบ่งบอกว่าโมเมนตัมขาลงของตลาดกำลังชะลอตัว และมีแนวโน้มว่าขาขึ้น อาจเริ่มก่อตัว ซึ่งอาจนำไปสู่แนวโน้มราคาที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
การกู้ยืมสถานะ Long หมายถึงอะไร?
การกู้ยืมสถานะ Long หมายถึง การที่นักลงทุนหรือผู้ค้าใช้เงินกู้หรือเลเวอเรจเพื่อขยายสถานะการลงทุนในแนวโน้มขาขึ้นในพอร์ตโฟลิโอของตน ในตลาดการเงิน การใช้การกู้ยืมจะช่วยให้นักลงทุนเพิ่มขนาดการลงทุนได้โดยไม่ต้องใช้เงินของตนทั้งหมด ซึ่งช่วยให้สามารถเปิดสถานะที่ใหญ่ขึ้นได้ ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการกู้ยืม การเปิดสถานะในตลาด การใช้เลเวอเรจ และการจัดการความเสี่ยง เพื่อควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการกู้ยืม
โดยทั่วไป นักลงทุนจะกู้เงินจากนายหน้าหรือสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มเงินลงทุนของตน เงินที่ยืมมานี้จะถูกนำไปเพิ่มสถานะในสินทรัพย์ที่มองว่ามีแนวโน้มเติบโต เช่น หุ้น ฟิวเจอร์ส หรือค่าเงินต่างประเทศ ซึ่งอาจหมายถึงการซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม
การกู้ยืมนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถถือครองสถานะที่ใหญ่ขึ้นโดยไม่ต้องใช้เงินของตัวเอง วิธีนี้สามารถเพิ่มโอกาสในการรับผลกำไรหากมูลค่าของสินทรัพย์เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากเงินที่ยืมมานั้นต้องคืนในอนาคต และหากมีการขาดทุน การขาดทุนนั้นจะทวีคูณตามเลเวอเรจที่ใช้
ดังนั้น การกู้ยืมแบบนี้จึงจำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบมากขึ้น เพราะการขาดทุนจะทวีคูณตามเลเวอเรจที่ใช้ นักลงทุนจึงมักกำหนดระดับหยุดการขาดทุนเพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
การกู้ยืมช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าตลาดได้มากขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่าเช่นกัน เนื่องจากความผันผวนของตลาดอาจทำให้เกิดการขาดทุนหนัก นักลงทุนต้องรับผิดชอบทั้งการชำระเงินกู้และดอกเบี้ย ดังนั้นการใช้เงินกู้จึงต้องระมัดระวังและเข้าใจความเสี่ยงและเลเวอเรจที่เกี่ยวข้อง
การป้องกันความเสี่ยงตำแหน่งLong
การป้องกันความเสี่ยงตำแหน่ง Long หมายถึง การที่นักลงทุนเปิดสถานะซื้อในตลาดเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากการลงทุนอื่น ๆ เป้าหมายของกลยุทธ์นี้คือการลดผลกระทบจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยการถือสถานะซื้อในสินทรัพย์หรือตลาดที่มีแนวโน้มตรงกันข้ามกับการลงทุนหลัก
ตัวอย่างเช่น นักลงทุนอาจมีสถานะขาย (สถานะขาลง) ในสินทรัพย์บางประเภท และเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสถานะเหล่านี้ พวกเขาอาจเปิดสถานะซื้อ (สถานะขาขึ้น) ในสินทรัพย์อื่น ในทำนองเดียวกัน นักลงทุนบางคนที่ถือครองสินทรัพย์หลายประเภทอาจเลือกเปิดสถานะซื้อในสินทรัพย์บางประเภท เพื่อช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตโฟลิโอและป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
เมื่อเผชิญกับภาวะตลาดที่ตกต่ำ นักลงทุนอาจลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากตลาดโดยรวมด้วยการเปิดสถานะซื้อในสินทรัพย์บางประเภทที่มีแนวโน้มดี เป้าหมายหลักคือการหาตำแหน่งที่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ โดยสัมพันธ์กับสถานะอื่น ๆ ในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อสร้างสมดุลของการลงทุนในทิศทางต่างๆ และลดความเสี่ยงรวม
แบบฟอร์มผกผัน | ลักษณะเฉพาะ | เมื่อราคาขึ้น | เมื่อราคาลง |
ส่วนหัวและไหล่ด้านล่าง | รางน้ำ 3 อัน โดยอันตรงกลางอยู่ต่ำสุด | สัญญาณรั้น | การกลับรายการที่เป็นไปได้ |
ก้นคู่ | ประกอบด้วยรางน้ำ 2 รางที่มีลวดลายด้านล่างคล้ายกัน | สัญญาณรั้น | การกลับรายการที่เป็นไปได้ |
สามล่าง | ประกอบด้วยรางน้ำ 3 รางที่มีลวดลายด้านล่างคล้ายกัน | สัญญาณรั้น | การกลับรายการที่เป็นไปได้ |
แผนภูมิเทียนกลับหัว | Hammerhead, Inverted Hammerhead และรูปแบบอื่นๆ | สัญญาณรั้น | การกลับรายการที่เป็นไปได้ |
รูปแบบกลับหัว | เช่น ธงธง ที่จับแก้ว เป็นต้น | สัญญาณรั้น | การกลับรายการที่เป็นไปได้ |
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดมุ่งหมาย (และไม่ควรถือเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรืออื่น ๆ ที่ควรเชื่อถือได้ ไม่มีการให้ความเห็นในเนื้อหาที่ถือเป็นคำแนะนำโดย EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน การรักษาความปลอดภัย ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ นั้นเหมาะสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ