2025-09-12
เมื่อทำการเทรด หนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการทำนายการกลับตัวของตลาดที่อาจเกิดขึ้นคือ ภาวะ Bullish Divergence กล่าวง่าย ๆ ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์ปรับตัวลดลง แต่อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น RSI หรือ MACD กลับเคลื่อนที่สูงขึ้น ความไม่สอดคล้องนี้ส่งสัญญาณว่าฝั่งผู้ขายอาจเริ่มอ่อนแรง และผู้ซื้ออาจเข้ามาควบคุมตลาดได้ในไม่ช้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของราคา
สำหรับผู้เริ่มต้น ลองนึกถึงภาวะ Bullish Divergence เหมือนกับที่ตลาดกระซิบว่า "ราคากำลังลดลง แต่โมเมนตัมบอกว่าการลดลงนั้นอ่อนแอ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการกลับตัว"
ในบทความนี้ เราจะอธิบายความหมายของ Bullish Divergence ประเภทต่างๆ ตัวอย่างกราฟจริง และวิธีที่เทรดเดอร์สามารถนำไปใช้ในกลยุทธ์ต่างๆ ได้ เมื่ออ่านจบ คุณจะเข้าใจว่าทำไมเทรดเดอร์หลายคนจึงมองว่า Bullish Divergence เป็นหนึ่งในสัญญาณการกลับตัวที่น่าเชื่อถือที่สุด
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ภาวะ Bullish Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาทำ “จุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่า” แต่อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคกลับทำ “จุดต่ำใหม่ที่สูงกว่า”
ตัวอย่างเช่น :
หากราคา Bitcoin ปรับตัวลงจาก 30,000 ดอลลาร์ เหลือ 28,000 ดอลลาร์ แต่ค่า RSI กลับปรับขึ้นจาก 35 เป็น 45 ในช่วงเวลาเดียวกัน นั่นคือภาวะ Bullish Divergence
แนวคิดสำคัญคือ อินดิเคเตอร์ไม่เห็นด้วยกับราคาที่กำลังเกิดขึ้น และโดยทั่วไปแล้ว อินดิเคเตอร์มักจะเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง
Forex : มักพบเห็นเป็นคู่เช่น EUR/USD และ GBP/USD ระหว่างการกลับตัวของแนวโน้ม
หุ้น : พบได้บ่อยในหุ้นเทคโนโลยี เช่น Tesla, Apple หรือ Microsoft ในช่วงราคาที่ปรับตัวลดลง
คริปโต : มีประสิทธิภาพมากกับเหรียญที่มีความผันผวน เช่น Bitcoin และ Ethereum
สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำและเงินมักแสดงแนวโน้มขาขึ้นก่อนที่จะมีการปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่
สัญญาณการกลับตัวล่วงหน้า: มักเตือนนักเทรดก่อนที่ราคาจะกลับตัวขึ้นจริง
ใช้งานได้หลากหลายตลาด : ใช้งานได้กับ Forex หุ้น คริปโต หรือสินค้าโภคภัณฑ์
ช่วยปรับปรุงอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง: การจับสัญญาณกลับตัวได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้สามารถเข้าเทรดได้ในราคาที่ดีกว่า
กล่าวโดยสรุป ภาวะ Bullish Divergence เปรียบเสมือนการมองเห็นรอยร้าวในกำแพง ก่อนที่อาคารจะพังถล่มลงมา
1. Regular Bullish Divergence
คืออะไร : ราคาทำจุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่า แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดต่ำใหม่ที่สูงกว่า
หมายความว่า : มีโอกาสสูงที่จะเกิดการกลับตัวขาขึ้น ผู้ขายเริ่มอ่อนแรง และผู้ซื้ออาจเข้ามาครองตลาดในไม่ช้า
ตัวอย่าง : ในตลาด Forex หากคู่เงิน EUR/USD ลงไปทำจุดต่ำใหม่ แต่กราฟ MACD histogram กลับทำจุดต่ำที่สูงกว่า มักเป็นสัญญาณเตือนถึงการปรับขึ้นที่กำลังจะเกิดขึ้น
Regular Divergence มักมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเกิดที่ปลายแนวโน้มขาลง
2. Hidden Bullish Divergence
คืออะไร : ราคาทำจุดต่ำที่สูงขึ้น แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดต่ำที่ต่ำลง
หมายความว่า : ไม่ใช่สัญญาณกลับตัว แต่เป็นสัญญาณการ “ต่อเนื่องของแนวโน้ม” ผู้ซื้อกำลังสะสมอย่างเงียบ ๆ เตรียมให้แนวโน้มขาขึ้นดำเนินต่อไป
ตัวอย่าง : หากราคาทองคำปรับลงเล็กน้อยระหว่างแนวโน้มขาขึ้น แต่ค่า RSI กลับทำจุดต่ำที่ต่ำกว่า ขณะที่ราคายังทำจุดต่ำที่สูงขึ้น แสดงถึง Hidden Bullish Divergence
Hidden Divergence มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อต้องการเทรดช่วงพักตัวของแนวโน้ม
RSI วัดสภาวะซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไป
เมื่อราคาลดลง แต่ค่า RSI ปรับสูงขึ้น มักเป็นสัญญาณของ Bullish Divergence
เส้นสัญญาณหรือ histogram ของ MACD สามารถแสดง Divergence ได้อย่างชัดเจน
หาก MACD ทำจุดต่ำที่สูงขึ้น ในขณะที่ราคาทำจุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่า ถือว่าเป็นสัญญาณ Bullish
คล้ายกับ RSI ซึ่งจะติดตามโมเมนตัม
มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจจับ Hidden Bullish Divergence
ติดตามปริมาณการซื้อและการขาย
หากราคาลดลงแต่ OBV ปรับตัวสูงขึ้น แสดงถึงการสะสมของแรงซื้อ
ขั้นตอนที่ 1: ระบุแนวโน้ม
สำหรับ Regular Divergence: มองหาแนวโน้มขาลง
สำหรับ Hidden Divergence: มองหาการพักตัวในแนวโน้มขาขึ้น
ขั้นตอนที่ 2: ยืนยันด้วยอินดิเคเตอร์
ตรวจสอบ RSI, MACD หรือ Stochastic เพื่อยืนยันสัญญาณ Divergence
ขั้นตอนที่ 3: มองหารูปแบบกราฟ
รวม Divergence กับระดับแนวรับ, รูปแบบ Double Bottom หรือแท่งเทียน เช่น Hammer
ขั้นตอนที่ 4: เข้าสู่การเทรด
สำหรับ Regular Divergence: เข้า Long หลังจากยืนยันแล้ว (เช่น การเบรกเอาต์ของแท่งเทียนขาขึ้น)
สำหรับ Hidden Divergence: เข้าเทรดระหว่างช่วงพักตัวของแนวโน้มขาขึ้น
ขั้นตอนที่ 5: ตั้งค่า Stop-Loss และ Target
วาง Stop-Loss ใต้จุดต่ำสุดล่าสุดของการแกว่งตัวล่าสุด
ตั้งเป้าหมายที่แนวต้านล่าสุด หรือใช้อัตราส่วนความเสี่ยง-ผลตอบแทน เช่น 1:2 หรือ 1:3
ข้อดี | ข้อจำกัด |
---|---|
ให้คำเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการกลับทิศทาง | อาจให้สัญญาณผิดพลาดในแนวโน้มแรง |
ใช้งานได้กับสินทรัพย์และตลาดหลายประเภท | ต้องยืนยันร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น |
ช่วยปรับปรุงจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม | ไม่แม่นยำ 100% ต้องใช้ Stop-Loss |
ช่วยสังเกตการสะสมของผู้ซื้อที่ซ่อนอยู่ | อาจล่าช้าในตลาดที่มีความผันผวนสูง |
รวม Divergence กับระดับแนวรับ/แนวต้านเพื่อสัญญาณที่แข็งแรงขึ้น
ใช้อินดิเคเตอร์หลายตัวเพื่อยืนยัน Divergence (เช่น RSI + MACD)
ทดสอบกลยุทธ์ Divergence บนบัญชีทดลองก่อนเทรดจริง
ติดตามข่าวเศรษฐกิจล่าสุด เพราะประกาศสำคัญอาจมีผลต่อสัญญาณ Divergence
Bullish Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่า แต่อินดิเคเตอร์อย่าง RSI, MACD หรือ Stochastic กลับทำจุดต่ำใหม่ที่สูงกว่า ซึ่งเป็นสัญญาณว่าฝั่งผู้ขายเริ่มอ่อนแรง และมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวขึ้น
ใช่ Bullish Divergence มักถูกมองว่าเป็นสัญญาณซื้อ แต่เทรดเดอร์ควรรอการยืนยันจากการเคลื่อนไหวของราคา หรือจากระดับแนวรับ/แนวต้าน ก่อนเข้าเทรด
RSI และ MACD เป็นอนดิเคเตอร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในการจับสัญญาณ Bullish Divergence
ได้ เช่นเดียวกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ Bullish Divergence ไม่แม่นยำ 100% และอาจให้สัญญาณผิดพลาดได้ในแนวโน้มขาลงแรงหรือในตลาดที่ผันผวนสูง
Bullish Divergence คือหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่เทรดเดอร์สามารถใช้เพื่อสังเกตการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น หรือยืนยันการต่อเนื่องของแนวโน้ม โดยการเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของราคากับตัวชี้วัดโมเมนตัม เทรดเดอร์จะได้เปรียบในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวก่อนที่จะเกิดขึ้น
สำหรับผู้เริ่มต้น การเข้าใจแนวคิดนี้เป็นสิ่งจำเป็น เพราะช่วยระบุจุดเข้าเทรดที่มีโอกาสสำเร็จสูงและความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ พร้อมสร้างความมั่นใจในการสังเกตโอกาสที่ซ่อนอยู่ในตลาด
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ