หลีกเลี่ยง ETF Overlap ด้วยเคล็ดลับจัดพอร์ตอย่างมือโปร

2025-07-15

การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมคือหัวใจสำคัญของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ สำหรับนักลงทุนจำนวนมาก กองทุน ETF (Exchange-Traded Funds) คือทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงตลาดในวงกว้าง


อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อควรระวังสำคัญนั่นคือ ETF Overlap การถือครอง ETF หลายกองโดยไม่ตรวจสอบว่าแต่ละกองมีสินทรัพย์พื้นฐานซ้ำกันหรือไม่ อาจทำให้พอร์ตของคุณกระจุกตัวอยู่ในหุ้นหรือกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม ๆ ส่งผลให้คุณไม่ได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงอย่างแท้จริง


ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกถึงความหมายของ ETF Overlap เหตุผลที่ต้องใส่ใจ และแนวทางในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงได้จริงและสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ


ETF Overlap คืออะไร?

ETF Overlap คืออะไร

ETF Overlap คือการที่กองทุน ETF สองกองขึ้นไปในพอร์ตของคุณถือครองสินทรัพย์พื้นฐานเดียวกันจำนวนมาก เช่น หุ้นขนาดใหญ่บางตัว กลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือการลงทุนในภูมิภาคเดียวกัน ความซ้ำซ้อนที่แฝงอยู่เช่นนี้ทำให้พอร์ตของคุณมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวโดยไม่รู้ตัว และขัดต่อหลักการกระจายความเสี่ยงที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการ


ตัวอย่างเช่น หากคุณถือทั้งกองทุน Total-Market ETF, S&P 500 ETF และ Nasdaq-100 ETF แม้จะดูเหมือนหลากหลาย แต่จริง ๆ แล้วอาจถือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Microsoft และ Nvidia ซ้ำซ้อนกันจนคิดเป็นมากกว่าหนึ่งในสามของพอร์ตโดยรวม


ตัวอย่างความซ้ำซ้อนที่พบบ่อย


  • S&P 500 ETF + Total US Market ETF: ซ้อนกันเกือบทั้งหมด เพราะ S&P 500 คิดเป็นราว 80% ของตลาดสหรัฐฯ โดยรวม

  • S&P 500 ETF + Nasdaq-100 ETF: หุ้นเทคโนโลยีชั้นนำอยู่ในทั้งสองกอง

  • Total US ETF + Sector หรือ Growth ETF: กอง Growth ETF มักซ้ำกับน้ำหนักของกลุ่มอุตสาหกรรมในกองตลาดรวม


แม้จะดูเหมือนกระจาย แต่จริง ๆ แล้วมีความกระจุกตัวคล้ายกับการถือกองทุนเดียว


เหตุผลที่ ETF Overlap สำคัญ


1. ลดประสิทธิภาพการกระจายความเสี่ยง

แทนที่จะกระจายความเสี่ยงไปทั่วตลาด ให้ลงทุนในบริษัทเดียวกันโดยเน้นการลงทุนที่ซ้ำซ้อนกัน ดังที่ InvestmentNews อธิบายไว้ การรวม ETF อย่าง VTI, SPY และ QQQ อาจทำให้พอร์ตการลงทุนของคุณเกือบ 40% เหลือหุ้นเพียง 10 ตัว


2. เพิ่มความเสี่ยงแบบไม่ตั้งใจ

หาก ETF หลายกองถือหุ้นเดียวกัน ความเสี่ยงของพอร์ตจะผูกกับความผันผวนของหุ้นกลุ่มนั้นมากขึ้น


3. ค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน

จ่ายค่าบริหารหลายรอบในสินทรัพย์เดียวกัน ทำให้ผลตอบแทนสุทธิลดลง


4. มีภาระภาษีและต้นทุนในการปรับพอร์ต

เมื่อตรวจพบความซ้ำ อาจต้องขายกองทุนบางส่วนซึ่งนำไปสู่ภาษีกำไรจากการขาย และต้นทุนในการรีบาลานซ์


วิธีสร้างพอร์ตที่ลด Overlap อย่างเป็นระบบ

กระจายพอร์ตโฟลิโอ ETF

1. กำหนดเป้าหมายการจัดสัดส่วนการลงทุน

เลือกจัดสัดส่วนตามระดับความเสี่ยงและระยะเวลาการลงทุน เช่น หุ้นสหรัฐฯ หุ้นต่างประเทศ พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์


2. เลือก ETF Anchor

เลือกกองทุนหลักที่ครอบคลุมตลาดกว้าง เช่น:

  • หุ้นสหรัฐฯ: VTI หรือ SPY

  • หุ้นต่างประเทศ: ดัชนี MSCI All-World ex-US หรือ EAFE

  • พันธบัตร: ETF พันธบัตรรวมในประเทศหรือทั่วโลก


3. เลือกกองทุนเสริมอย่างระมัดระวัง

เช่น Emerging Market, Tech, หรือ Value ETF ควรวิเคราะห์ว่าซ้ำกับกองหลักหรือไม่โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ Overlap


4. ปรับโครงสร้างหากพบความซ้ำ

หากความซ้ำเกินระดับที่ยอมรับได้ อาจสลับไปใช้กองทุนที่แตกต่าง เช่น ใช้กองทุนตลาดสหรัฐฯ + Small-Cap แทน S&P 500 + Total U.S.


5. ทบทวนและรีบาลานซ์สม่ำเสมอ

ควรตรวจสอบพอร์ตทุก 6 หรือ 12 เดือน หากมีการเบี่ยงเบนเกิน 5% ควรพิจารณารีบาลานซ์


ควรยอมรับระดับ Overlap ได้แค่ไหน?


ไม่มีเกณฑ์ตายตัว แต่นักวางแผนส่วนใหญ่แนะนำให้จำกัดไว้ไม่เกิน 10–20% หรือสูงสุดไม่เกิน 30–50% ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ การทับซ้อนที่ยอมรับได้นั้นขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายทางการเงินของคุณ


สถานการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง

สถานการณ์ที่ 1: เน้นหุ้นเติบโตเกินไป

นักลงทุนถือครองหุ้น VTI และ VUG (หุ้นเติบโต) เนื่องจาก VUG มีหุ้นหลายตัวที่เหมือนกับ VTI การวิเคราะห์แบบซ้อนทับอาจแสดงให้เห็นว่ามีหุ้นซ้ำซ้อนมากกว่า 50% คุณสามารถปรับสมดุลใหม่ได้โดยการเปลี่ยน VTI เป็นกองทุนสหรัฐฯ ที่สมดุลมากขึ้น หรือเปลี่ยนการจัดสรรหุ้นไปยังกองทุนรวมขนาดเล็กหรือกองทุนรวมมูลค่า


สถานการณ์ที่ 2: ถือทั้งกองทุน Global และ Regional

การรวมกองทุนระดับโลก (Vanguard Total World) เข้ากับกองทุนระดับภูมิภาค (เช่น EAFE และตลาดเกิดใหม่) มักทำให้เกิดการทับซ้อนของการลงทุนแบบ Passive คุณสามารถหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนได้โดยการเลือกกองทุนรวมระดับโลกแบบ All-in-One หรือกองทุนระดับภูมิภาคอิสระ


แนวทางกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติม

แนวทางกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติม

กระจายความเสี่ยงตามประเภทสินทรัพย์

รวมประเภทสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำหรือเชิงลบ เช่น พันธบัตรรัฐบาล กองทุน ETF สินค้าโภคภัณฑ์ REIT เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นภายใต้ทฤษฎีพอร์ตโฟลิโอสมัยใหม่


ปัจจัยสมดุล

หลีกเลี่ยงการกระจุกตัวที่มองไม่เห็นในการเติบโตเทียบกับมูลค่า กองทุน ETF เติบโตสองกองทุนอาจทับซ้อนกันอย่างมาก แม้แต่ในดัชนีต่างๆ ก็ตาม จงสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและมูลค่าอย่างตั้งใจ


การกระจายกลยุทธ์เชิงรุก

เช่น กอง Risk-Parity หรือ Managed Futures ควรพิจารณาแยกต่างหาก เนื่องจากมีลักษณะเฉพาะในการสร้างผลตอบแทน


คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ ETF Overlap


Q1: ความซ้ำซ้อนเล็กน้อยรับได้ไหม?

รับได้ หากอยู่ในระดับที่วางแผนไว้ เช่น การถือทั้ง ETF ตลาดสหรัฐฯ และตลาดพัฒนาแล้ว อาจมีบางจุดที่ซ้ำกันแต่ไม่ร้ายแรง


Q2: Overlap ทำให้ผลตอบแทนลดลงหรือไม่?

มีโอกาส เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน และไม่ได้รับผลกระจายความเสี่ยงอย่างแท้จริง


Q3: ควรถือ ETF กี่กองจึงจะพอ?

คุณภาพดีกว่าปริมาณ โดยทั่วไปแนะนำให้มี ETF ประมาณ 5–8 กองที่เลือกมาอย่างรอบคอบก็เพียงพอแล้ว


สรุป


ETF Overlap เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยแต่สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก หากคุณตรวจสอบและจัดพอร์ตอย่างมีวินัย โดยการเลือก ETF อย่างตั้งใจ ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ความซ้ำซ้อน และทบทวนพอร์ตเป็นประจำ


แนวทางนี้ทำให้แน่ใจว่าคุณจะบรรลุวัตถุประสงค์การลงทุนของคุณได้อย่างแท้จริง ลดความเสี่ยงที่ไม่ได้ตั้งใจให้เหลือน้อยที่สุด และเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
Covered Call ETF คืออะไร? ทำไมสายปันผลถึงเลือกใช้
SPY vs SPX เลือกแบบไหนคุ้มค่าน่าลงทุน
ETF vs กองทุนรวม มือใหม่เลือกแบบไหนคุ้มกว่า?
เริ่มต้นลงทุน NASDAQ ETF ครั้งแรก ต้องรู้อะไรบ้างในปี 2025
ETF เยนระยะยาวปลอดภัยหรือไม่? การเปิดเผยความเสี่ยงและความผันผวน