ตัวชี้วัดปริมาณ เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งและแนวโน้มการซื้อขายในตลาด
การเปิดบริษัทต้องคำนึงถึงกระแสเงินสด ในขณะที่การทำความเข้าใจหลักเศรษฐศาสตร์มหภาคต้องพิจารณาถึงการไหลเวียนของเงินทุน และในตลาดหุ้นจะให้ความสำคัญกับปริมาณการซื้อขาย ในตลาดการเงิน การขึ้นลงของราคาไม่สามารถแยกออกจากปริมาณได้ ในทางปฏิบัติ นักวิเคราะห์มักใช้ตัวชี้วัดปริมาณร่วมกับค่าเฉลี่ย K-line และตัวชี้วัดราคาต่างๆ เพื่อทำนายทิศทางของตลาด รวมถึงวิเคราะห์แนวโน้มราคา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญ
ตัวชี้วัดปริมาณ คืออะไร?
ตัวชี้วัดปริมาณ (Volume Indicator) เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดที่ช่วยให้เราสามารถประเมินความแข็งแกร่งและทิศทางของแนวโน้มการซื้อขายได้ โดยปริมาณการซื้อขาย (Volume) ช่วยให้เรามีความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาด นอกจากนี้ ฮิสโตแกรมของปริมาณการซื้อขายยังช่วยให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ในตลาดได้ เหมือนกับที่แท่งเทียน (K-line) แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคา ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นในการซื้อขายในตลาดนั้น ๆ
Volume หมายถึง จำนวนรวมของสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น ฟิวเจอร์ส หรืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่มีการซื้อขายในตลาดในช่วงเวลาที่กำหนด โดยปกติแล้วจะถูกวัดในหน่วยการซื้อขาย เช่น หุ้น ล็อต หรือสัญญา (Contract)
การทำธุรกรรมในตลาด เกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อมีมุมมองที่ดีต่ออนาคต คาดว่าราคาจะสูงขึ้น ขณะที่ผู้ขายมีมุมมองเป็นลบ คาดว่าราคาจะลดลง ทั้งสองฝ่ายนี้มีความต้องการที่จะทำธุรกรรมกัน ซึ่งทำให้การซื้อขายดำเนินไปอย่างราบรื่น ดังนั้น ปริมาณการซื้อขาย ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดในการวัดความแข็งแกร่งในการซื้อขายของตลาด ปริมาณที่สูง สะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากผู้เข้าร่วมตลาดในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเร่งตัวขึ้นหรือมีการกลับตัว ในขณะที่ปริมาณที่ต่ำอาจบ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในภาวะซบเซา นักลงทุนอาจเลือกที่จะรอดูสถานการณ์ต่อไปอย่างระมัดระวัง
รูปแบบพื้นฐานของตัวชี้วัดปริมาณ (VOL) คือ แผนภูมิปริมาณ ซึ่งแสดงถึงจำนวนสินทรัพย์ที่ถูกซื้อขายในช่วงเวลาต่างๆ โดยมักจะนำเสนอในรูปแบบแผนภูมิแท่ง แท่งแต่ละอันจะแสดงถึงปริมาณการซื้อขายในวันนั้นๆ และจะใช้สีเพื่อบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของราคา โดยที่สีเขียว หมายถึง ราคาขึ้น และสีแดง หมายถึง ราคาลง ยกตัวอย่างเช่น หากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 8 ดอลลาร์เป็น 10 ดอลลาร์ ในวันเดียวกัน แท่งปริมาณจะมีสีเขียว แต่ถ้าหากราคาหุ้นลดลงจาก 10 ดอลลาร์เป็น 8 ดอลลาร์ ในวันเดียวกัน แท่งปริมาณจะมีสีแดง การใช้สีนี้ช่วยให้เราเข้าใจทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้นได้ง่ายขึ้น
ปริมาตรที่เปลี่ยนจากใหญ่ไปเล็กเรียกว่าการหดตัว และปริมาตรที่เปลี่ยนจากเล็กไปใหญ่เรียกว่าการเพิ่มขึ้น การหดตัวหมายถึงตลาดเมื่อเทียบกับปริมาณก่อนหน้านี้ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แสดงว่าผู้ซื้อและผู้ขายเบามาก โดยทั่วไปแบ่งออกเป็นสองสถานการณ์ ประการแรก ตลาดอยู่ในช่วงขาลง เพื่อรักษาทัศนคติแบบรอดูไปก่อน บางคนขายแต่ไม่มีใครซื้อ ประการที่สอง ตลาดมีทัศนคติเชิงบวกต่อตลาดหุ้น บางคนซื้อโดยไม่มีใครขาย และผู้ซื้อและผู้ขายไม่สามารถเข้าถึงธุรกรรมได้ ปริมาณหมายถึงตลาดเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก่อนหน้านี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ซื้อและผู้ขายมีความกระตือรือร้นมากขึ้น ประชากรส่วนหนึ่งขายในปริมาณมาก ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งของประชากรซื้อในปริมาณมาก และปริมาณที่เพิ่มขึ้นก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในเรื่องนี้
ปริมาณการซื้อขาย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก : การหดตัวและการเพิ่มขึ้น
การหดตัว หมายถึง เมื่อปริมาณการซื้อขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจบ่งบอกว่าผู้ซื้อและผู้ขายมีความตื่นตัวน้อยลง โดยทั่วไปแล้วมีสองสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้:
1. ตลาดอยู่ในช่วงขาลง ผู้ลงทุนจะรอดูสถานการณ์ก่อน บางคนอาจตัดสินใจขาย มักจะไม่มีผู้ซื้อในช่วงนี้
2. ตลาดมีทัศนคติเชิงบวก นักลงทุนต่างเข้ามาซื้อ และไม่มีใครขาย ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในธุรกรรม
การเพิ่มขึ้น หมายถึง ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น แสดงถึงความต้องการในตลาดมากขึ้น โดยผู้ซื้อและผู้ขายมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน มีนักลงทุนจำนวนมากที่ขายในปริมาณมาก ขณะเดียวกันก็มีนักลงทุนอีกจำนวนมากที่ซื้อในปริมาณมากเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงนี้
ความสัมพันธ์กับราคาเรียกว่าความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณ-ราคา และความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณ-ราคาที่แตกต่างกันในตลาดต่างๆ สื่อถึงข้อมูลที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้ว การขึ้นราคาจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุน มันเป็นบันไดขึ้นราคา อย่างไรก็ตาม ดีลเลอร์ต้องการส่งออกเพื่อเคลียร์สถานะ จึงกลับไปกลับมาเพื่อขายหุ้น สร้างจำนวนธุรกรรมที่ผิดพลาด และดึงดูดนักลงทุนรายย่อยให้เข้ามามีส่วนร่วม
ตัวชี้วัด | คำย่อ | ความหมาย |
Volume Analysis | VA | ความสูงของแผนภูมิแท่งแสดงถึงปริมาณการซื้อขาย |
Relative Strength Indicator | RSI | วัดความแข็งแกร่งของราคาและปริมาณ |
Accumulation/Distribution Line | ADL | วัดการสะสมและการจำหน่ายของสินทรัพย์ |
Volume Relative Strength | VROC | ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณซื้อขาย |
On Balance Volume | OBV | ใช้วัดความแข็งแกร่งของผู้ซื้อและผู้ขาย |
วิธีอ่านตัวชี้วัดปริมาณ
การอ่านตัวชี้วัดปริมาณเกี่ยวข้องกับการใช้รูปแบบต่าง ๆ ที่ช่วยให้เข้าใจแนวโน้มการซื้อขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนภูมิแท่งปริมาณ (volume bar chart) ซึ่งแสดงถึง ขนาดของปริมาณการซื้อขายในแต่ละช่วงเวลา แท่งที่สูงกว่าจะแสดงถึงปริมาณที่มากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว เมื่อราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น จะเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเคลื่อนไหวและมีความแข็งแกร่ง แต่ถ้าราคาลดลงพร้อมกับปริมาณที่เพิ่มขึ้น อาจหมายความว่าตลาดกำลังซบเซาหรือมีปัญหาในการซื้อขาย นี่คือวิธีที่นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลปริมาณเพื่อประเมินสภาพตลาดและตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
แผนภูมิแท่งปริมาณ ไม่สามารถบอกได้โดยตรงว่าควรซื้อหรือขาย เพราะทุกธุรกรรมมีทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณพิจารณาการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณร่วมกัน คุณจะสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและแนวโน้มของตลาดได้ ในกรณีที่ราคาสูงขึ้นและปริมาณเพิ่มขึ้นด้วย นั่นอาจหมายความว่า มีแนวรับที่แข็งแกร่งในแนวโน้ม แต่ถ้าราคาสูงขึ้นแต่ปริมาณลดลง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มขาขึ้นไม่มีแนวรับที่มั่นคง
เมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่หรือต่ำสุดใหม่ แต่ปริมาณการซื้อขายไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย นั่นอาจแสดงถึงความไม่สอดคล้องกันในราคา ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าการสนับสนุนจากผู้เข้าร่วมตลาดสำหรับแนวโน้มปัจจุบันกำลังอ่อนแอ และอาจนำไปสู่การกลับตัวของแนวโน้มในอนาคต
เมื่อดูที่ฮิสโตแกรมปริมาตร คุณจะสามารถดูขนาดสัมพัทธ์ของมัน ณ จุดต่างๆ ของเวลาได้ แท่งที่ใหญ่ขึ้นบ่งบอกถึงกิจกรรมการซื้อขายที่มีความเข้มข้นมากขึ้นในช่วงเวลาที่สอดคล้องกัน รูปแบบเฉพาะบางรูปแบบอาจให้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น การพุ่งขึ้นอย่างฉับพลัน วันซื้อขายแบบซูมเข้า ฯลฯ รูปแบบเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญในตลาด
เมื่อคุณดูที่ฮิสโตแกรมปริมาณ คุณจะเห็นขนาดของปริมาณในช่วงเวลาต่างๆ โดยแท่งที่มีขนาดใหญ่กว่าจะบ่งบอกถึง แรงซื้อหรือแรงขายที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ เช่น การพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วหรือวันซื้อขายที่มีการเคลื่อนไหวมาก อาจบ่งบอกถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในตลาด
นอกจากนี้ ยังมีตัวชี้วัดอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น Relative Strength Indicator (RSI), Accumulation/Distribution Line, Volume Relative Strength (VROC) และ On-Balance Volume (OBV) โดยค่า RSI จะมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 โดยทั่วไป ถ้าค่า RSI สูงกว่า 70 อาจแสดงว่าตลาดมีการซื้อมากเกินไปและราคาอาจลดลงได้ ในขณะที่ถ้าค่า RSI ต่ำกว่า 30 อาจหมายความว่าตลาดมีการขายมากเกินไปและราคาอาจมีโอกาสเพิ่มขึ้น
แนวโน้มการสะสมและการกระจาย สามารถใช้เพื่อวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของตลาดได้ โดยแนวโน้มขาขึ้น แสดงถึงการสะสมของสินทรัพย์ในตลาด ในขณะที่แนวโน้มขาลงอาจบ่งบอกถึงการกระจายหรือการขายออกของสินทรัพย์ หากสัญญาณที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับกราฟราคา อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการตัดสินใจซื้อหรือขายในตลาด
ค่าบวกของ VROC หมายถึง ปริมาณการซื้อขายกำลังเพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าลบ แสดงว่าปริมาณลดลง การเปลี่ยนแปลงในความแข็งแกร่งสัมพัทธ์สามารถใช้วัดโมเมนตัมของตลาดได้ เช่น ค่า VROC เชิงบวก แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนค่า OBV ที่เป็นบวก แสดงถึงการสะสมสินทรัพย์ ขณะที่ค่าลบบ่งบอกถึงการขายออกของสินทรัพย์ โดย OBV จะสร้างสัญญาณที่สอดคล้องกับแนวโน้มในกราฟราคา และสามารถใช้เพื่อยืนยันความเชื่อถือได้ของแนวโน้มในตลาด
เมื่อพิจารณา Volume Indicator สิ่งสำคัญ คือการนำมารวมกับกราฟราคาและตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ตัวอย่างเช่น ต้องดูว่าแนวโน้มราคาที่ขึ้นหรือลงนั้นเกิดขึ้นพร้อมกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณหรือไม่ นอกจากนี้ ต้องพิจารณาบริบทโดยรวมของตลาด แนวโน้ม และระดับแนวรับหรือแนวต้าน เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น
ตัวชี้วัด | ใช้วัด | การอ่านตัวชี้วัด |
Volume Analysis | ปริมาณการซื้อขาย | ความสูงของแท่ง: สัญญาณขึ้นราคาเพิ่มขึ้น สัญญาณลงสัญญาณราคาตก |
Relative Strength Indicator | ปริมาณการซื้อขาย | RSI สูงกว่า 70: มีการซื้อมากเกินไป RSI ต่ำกว่า 30: ขายมากเกินไป |
Accumulation/Distribution Line | โมเมนตัม | เรียงแถว: ตลาดสะสม เรียงแถว: จำหน่ายของในตลาด |
Volume Relative Strength | โมเมนตัม | ค่าบวก: ปริมาณมากขึ้น; ค่าลบ: ปริมาณน้อยลง |
On Balance Volume | โมเมนตัม | ยืนยันราคาและสัญญาณความสอดคล้องของแนวโน้ม |
วิธีคำนวณตัวชี้วัดปริมาณ
RSI = 100 - (100/(1+RS)) โดยที่ RS (Relative Strength) = อัตราส่วนของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในวันที่ราคาขึ้น (วันที่เติบโต) หารด้วยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในวันที่ราคาลง (วันที่ลดลง)
ADL : ปริมาณสำหรับวันบวก (ปิดของวัน ต่ำสุดของวัน) - (สูงสุดของวัน ปิดของวัน)
Volume Relative Strength (VROC) : VROC=((ปริมาณของวัน - ปริมาณของ n วันที่แล้ว)/ปริมาณของ n วันที่แล้ว)*100
OBV : วิธีการวัดปริมาณการซื้อขายในตลาดโดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาปิดในแต่ละวัน ซึ่งช่วยให้เห็นถึงแนวโน้มของการสะสมหรือการจำหน่ายในตลาดได้อย่างชัดเจน
การเปลี่ยนแปลงใน OBV จะถูกคำนวณตามนี้:
-ถ้าราคาปิดในวันปัจจุบันสูงกว่าราคาปิดในวันก่อนหน้า: OBV ในวันปัจจุบันจะเท่ากับ OBV ของวันก่อนหน้า + ปริมาณการซื้อขายในวันนั้น
-ถ้าราคาปิดในวันปัจจุบันต่ำกว่าราคาปิดในวันก่อนหน้า: OBV ในวันปัจจุบันจะเท่ากับ OBV ของวันก่อนหน้า - ปริมาณการซื้อขายในวันนั้น
-ถ้าราคาปิดในวันปัจจุบัน = ราคาปิดในวันก่อนหน้า: OBV จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินแรงซื้อหรือแรงขายในตลาดได้ดียิ่งขึ้น ตามการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขายและราคาหุ้น
ตัวชี้วัด | การตั้งค่าพารามิเตอร์ทั่วไป |
RSI | ระยะเวลา: 14 |
ADL | ไม่มีพารามิเตอร์คงที่ |
VROC | ระยะเวลา: 12 หรือ 14 |
OBV | ไม่มีพารามิเตอร์คงที่ |
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดมุ่งหมาย (และไม่ควรถือเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรืออื่น ๆ ที่ควรเชื่อถือได้ ไม่มีการให้ความเห็นในเนื้อหาที่ถือเป็นคำแนะนำโดย EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุน การรักษาความปลอดภัย ธุรกรรม หรือกลยุทธ์การลงทุนใดๆ นั้นเหมาะสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ