เรียนรู้ว่าการขายชอร์ตคืออะไร มันทำงานอย่างไร ความเสี่ยงที่สำคัญ กลยุทธ์ และเคล็ดลับสำหรับผู้ซื้อขายที่ต้องการทำกำไรจากตลาดที่ตกต่ำหรือป้องกันความเสี่ยงพอร์ตโฟลิโอของตน
Short Selling คือกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรจากการปรับตัวลงของราคาหุ้น ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดอื่น ๆ ได้ แม้อาจให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงเฉพาะตัวและต้องอาศัยความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับกลไกตลาด ข้อกำหนดด้านมาร์จิ้น และการบริหารความเสี่ยง
บทความนี้จะอธิบายวิธีการทำงานของ Short Selling เหตุผลที่นักเทรดเลือกใช้ และสิ่งที่คุณควรรู้เพื่อใช้งานกลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพ
Short Selling หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า “การขายชอร์ต” คือกลยุทธ์ที่นักเทรดขายสินทรัพย์ที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของ โดยมีเป้าหมายว่าจะซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าในอนาคต นักเทรดจะทำการยืมสินทรัพย์นั้น (โดยทั่วไปคือหุ้น) จากโบรกเกอร์ แล้วขายในราคาตลาดปัจจุบัน จากนั้นหากราคาสินทรัพย์ลดลงจริงก็จะสามารถซื้อคืนในราคาที่ถูกลง คืนให้กับโบรกเกอร์ และเก็บส่วนต่างเป็นกำไร
การขายชอร์ตพบได้บ่อยในตลาดหุ้น (Equities) แต่ก็มีการใช้แพร่หลายในตลาดฟอเร็กซ์ ดัชนี และสินค้าโภคภัณฑ์ โดยอาศัยเครื่องมือทางการเงินอย่าง CFD และฟิวเจอร์ส ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถทำ Short Selling ได้โดยไม่ต้องยืมสินทรัพย์จริง
1. เปิดบัญชีมาร์จิ้น (Margin Account):
นักเทรดต้องมีบัญชีมาร์จิ้นกับโบรกเกอร์ เพื่อให้สามารถยืมสินทรัพย์และใช้เลเวอเรจในการเทรดได้ บัญชีมาร์จิ้นจะต้องมีเงินฝากขั้นต่ำและมีกฎเกณฑ์เรื่องการรักษายอดเงิน
2. เลือกสินทรัพย์เป้าหมาย:
นักเทรดวิเคราะห์สินทรัพย์ที่คิดว่ามีราคาสูงเกินมูลค่าจริงหรือมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง โดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค พื้นฐาน หรือวิเคราะห์ความรู้สึกของตลาด (Sentiment Analysis)
3. ยืมและขายสินทรัพย์:
โบรกเกอร์จะทำการยืมหุ้นหรือสินทรัพย์ให้ และนักเทรดจะขายในราคาตลาดปัจจุบันทันที
4. ติดตามสถานะการเทรด:
นักเทรดต้องเฝ้าติดตามราคาตลาดอย่างใกล้ชิด โดยหวังว่าราคาจะลดลง หากราคาปรับตัวขึ้นแทนก็อาจขาดทุนอย่างรวดเร็ว
5. ซื้อคืนและคืนสินทรัพย์:
เมื่อราคาลดลงตามคาด นักเทรดจะทำการซื้อคืนสินทรัพย์ (เรียกว่า “Cover Short” ) และคืนให้โบรกเกอร์ กำไรหรือขาดทุนจะเกิดจากส่วนต่างระหว่างราคาขายกับราคาซื้อคืน
ตัวอย่าง:
สมมติว่าคุณขายชอร์ตหุ้น 100 หุ้นในราคาหุ้นละ 100 ดอลลาร์ ราคาหุ้นตกมาอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ คุณซื้อหุ้นคืนในราคา 8,000 ดอลลาร์ แล้วขายคืนหุ้นคืนให้โบรกเกอร์ คุณจะได้กำไรไว้ 2,000 ดอลลาร์ (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) หากราคาหุ้นขึ้นถึง 120 ดอลลาร์ คุณจะขาดทุน 2,000 ดอลลาร์
ทำกำไรจากราคาที่ลดลง:
แรงจูงใจหลักของการขายชอร์ตคือนักเทรดคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์จะลดลง และสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคานี้ได้
การป้องกันความเสี่ยง:
การขายชอร์ตสามารถช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนแบบ Long (ซื้อเก็บไว้) และทำหน้าที่เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
การค้นหาราคาที่แท้จริง:
นักขายชอร์ตช่วยทำให้ราคาตลาดสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงมากขึ้น โดยลดการเก็งกำไรเกินจริง และเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด
1. ขายเมื่อราคาดีดตัวขึ้นในแนวโน้มขาลง (Selling a Pullback in a Downtrend):
ขายชอร์ตเมื่อราคาดีดขึ้นชั่วคราวในตลาดขาลง โดยคาดว่าตลาดจะปรับตัวลดลงต่อไป
2. ขายเมื่อราคาทะลุแนวรับ (Breakdown from Support):
ขายชอร์ตเมื่อราคาทะลุแนวรับสำคัญ แสดงถึงความอ่อนแอของตลาดและมีโอกาสลงต่อไปอีก
3. ขายระหว่างที่ราคากำลังร่วงแรง (Active Decline Selling):
เข้าสถานะชอร์ตระหว่างที่ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงตลาดขาลง
4. การขายชอร์ตด้วยตราสารอนุพันธ์ (Shorting with Derivatives):
ใช้ CFD หรือออปชันในการขายชอร์ต โดยไม่จำเป็นต้องยืมหุ้นจริง
ขาดทุนได้ไม่จำกัด:
ต่างจากการซื้อหุ้นแบบปกติที่ขาดทุนได้สูงสุดเท่ากับเงินลงทุน การขายชอร์ตสามารถขาดทุนได้ไม่จำกัดหากราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้น
การถูกเรียกหลักประกัน (Margin Call):
หากเกิดการขาดทุนโบรกเกอร์อาจเรียกให้เพิ่มเงินทุน หากไม่สามารถเพิ่มได้ทันเวลา อาจต้องปิดสถานะด้วยการขาดทุน
ต้นทุนการยืมสินทรัพย์:
นักเทรดต้องจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในการยืมสินทรัพย์ ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรลดลง
การบีบบังคับซื้อคืน (Short Squeeze):
หากมีนักเทรดจำนวนมากถือสถานะชอร์ตอยู่ แล้วราคาพุ่งขึ้น อาจเกิดแรงซื้อคืนพร้อมกัน ทำให้ราคาพุ่งแรงขึ้นไปอีกส่งผลให้ขาดทุนมากขึ้น
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ:
ในบางช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง หน่วยงานกำกับดูแลอาจจำกัดหรือห้ามการขายชอร์ตชั่วคราว
ตั้งคำสั่ง Stop-Loss:
เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนที่อาจรุนแรง ควรตั้ง Stop-Loss ไว้เหนือราคาที่เข้าเทรด
ติดตามสถานะบัญชีมาร์จิ้น:
ตรวจสอบว่ามีเงินเพียงพอในบัญชีสำหรับกรณีที่ตลาดสวนทาง
ติดตามข่าวสารและปัจจัยพื้นฐาน:
ข่าว รายงานผลประกอบการ และความเชื่อมั่นของตลาดอาจทำให้ราคาผันผวนอย่างฉับพลัน
กระจายความเสี่ยง:
หลีกเลี่ยงการถือสถานะชอร์ตในสินทรัพย์หรือกลุ่มเดียวกันมากเกินไป
แม้ว่าการขายชอร์ตจะถูกวิจารณ์ว่าอาจซ้ำเติมตลาดขาลง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การขายชอร์ตมีบทบาทสำคัญในการทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยช่วยสะท้อนราคาที่แท้จริง ลดฟองสบู่ทางการเงิน เปิดโปงบริษัทที่มีปัญหาพื้นฐาน และเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
Short Selling คือเครื่องมือการเทรดที่มีความซับซ้อน ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรจากราคาที่ลดลง ป้องกันความเสี่ยง และส่งเสริมให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ก็มีความเสี่ยงสูง เช่น ความเสี่ยงในการขาดทุนไม่จำกัด และการถูกเรียกหลักประกัน (Margin Call)
หากนักเทรดเข้าใจกลไก วิธีการ กลยุทธ์ และข้อควรระวังอย่างถ่องแท้ การทำ Short Selling ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนที่รอบคอบและมีข้อมูลสนับสนุนอย่างเหมาะสมได้
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ติดตามราคาทองคำและเงินในปัจจุบัน สำรวจแนวโน้ม 10 ปี ปัจจัยสำคัญ อัตราส่วนราคา และเรียนรู้ว่าเวลาใดอาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหรือลงทุน
2025-06-13เรียนรู้ว่าญี่ปุ่นใช้สกุลเงินอะไร บทบาทของญี่ปุ่นในฐานะสกุลเงินอย่างเป็นทางการ และเหตุใดจึงเป็นสกุลเงินที่ผู้ค้าสกุลเงินทั่วโลกชื่นชอบ
2025-06-13ค้นพบว่า SWPPX ของ Schwab มอบการเข้าถึง S&P 500 ต้นทุนต่ำได้อย่างไร พร้อมมอบประสิทธิภาพที่มั่นคงและความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอในระยะยาว
2025-06-13