AbbVie เป็นบริษัทชีวเภสัชชั้นนำที่มีศักยภาพในการลงทุนที่แข็งแกร่ง ขับเคลื่อนโดยการพัฒนายาที่เป็นนวัตกรรมและเงินปันผลที่สม่ำเสมอ
ในการลงทุนในหุ้นของสหรัฐฯ นักลงทุนมักมองหาหุ้นที่โดดเด่นและสามารถทำผลงานได้ดีกว่าตลาด ในอดีต Apple, Microsoft และ Tesla ถือเป็นหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่เลือก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีนี้ ผลตอบแทนจากหุ้นเหล่านี้ยังคงตามหลัง S&P 500 และ Nasdaq อย่างมาก ในทางกลับกัน มีหุ้นตัวหนึ่งในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพที่ทำผลงานได้ดีกว่าตลาด นั่นคือ AbbVie แม้ว่าอาจไม่ได้รับการยอมรับในระดับเดียวกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเหล่านั้น แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นหุ้นที่ทำผลงานได้ดี มาดูผู้นำด้านเทคโนโลยีชีวภาพรายนี้และศักยภาพในการลงทุนกันอย่างใกล้ชิด
ภาพรวมบริษัท AbbVie
AbbVie เป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมชีวเภสัชกรรม โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองนอร์ทชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ บริษัทมุ่งเน้นที่การพัฒนายาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ โดยเน้นที่การรักษาโรคในด้านภูมิคุ้มกันวิทยา โลหิตวิทยา-มะเร็งวิทยา ประสาทวิทยา ความงาม และจักษุวิทยา จุดแข็งหลักของบริษัทอยู่ที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวเภสัชกรรมสำหรับโรคที่ซับซ้อน โดยมีผลงานที่โดดเด่นในด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและมะเร็งวิทยา
AbbVie ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 และแยกตัวออกมาจาก Abbott Laboratories ทำให้สามารถมุ่งเน้นไปที่สาขาหลักได้โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ การแยกทางเชิงกลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่รักษามรดกที่หยั่งรากลึกจาก Abbott เท่านั้น แต่ยังทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นและมีพื้นที่สำหรับนวัตกรรมมากขึ้น ทำให้สามารถขยายธุรกิจในตลาดชีวเภสัชกรรมระดับโลกได้
ผลิตภัณฑ์เรือธงอย่างหนึ่งของ AbbVie คือ Humira (adalimumab) ซึ่งเป็นยาชีวภาพที่ใช้รักษาโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น โรคไขข้ออักเสบ โรคโครห์น และโรคสะเก็ดเงิน นับตั้งแต่เปิดตัว Humira ก็กลายเป็นหนึ่งในยาที่ขายดีที่สุดของโลกอย่างรวดเร็ว โดยครองอันดับหนึ่งในยอดขายยาของโลกเป็นเวลาหลายปี และมีบทบาทสำคัญในการเติบโตทางธุรกิจของบริษัท
ความสำเร็จที่สำคัญอีกประการหนึ่งของบริษัท AbbVie คือ Imbruvica (ibrutinib) ซึ่งเป็นยาที่มุ่งเป้าไปที่การรักษามะเร็งเม็ดเลือดบางประเภท รวมถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแมนเทิล การเปิดตัว Imbruvica ถือเป็นทางเลือกการรักษาที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด และยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งผู้นำในตลาดชีวเภสัชกรรมระดับโลกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสิทธิบัตรของ Humira หมดอายุในปี 2023 บริษัทจึงมุ่งเน้นที่การรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดผ่านการลงทุนอย่างแข็งขันในงานวิจัยและพัฒนาและกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย AbbVie ไม่เพียงแต่พัฒนายาใหม่ในด้านภูมิคุ้มกันและมะเร็งวิทยาเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความพยายามในการวิจัยและพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น ประสาทวิทยา ไวรัสวิทยา และสุขภาพสตรี เพื่อให้แน่ใจว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
ในด้านภูมิคุ้มกันวิทยา AbbVie ได้เปิดตัวการบำบัดภูมิคุ้มกันรุ่นใหม่ เช่น Skyrizi และ Rinvoq ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการตลาดที่แข็งแกร่ง Skyrizi ใช้เป็นหลักในการรักษาโรคสะเก็ดเงินแบบแผ่นปานกลางถึงรุนแรง ในขณะที่ Rinvoq เป็นยารับประทานสำหรับโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์
ยาใหม่เหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้บริษัทลดการพึ่งพา Humira เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มตำแหน่งทางการแข่งขันในตลาดภูมิคุ้มกันบำบัดได้อย่างมากอีกด้วย ในขณะที่การบำบัดด้วยนวัตกรรมเหล่านี้ได้รับความนิยม ความเป็นผู้นำของบริษัทในด้านภูมิคุ้มกันวิทยาระดับโลกก็ยังคงแข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการ Allergan ของ AbbVie ในปี 2019 ยังทำให้เกิดช่องทางรายได้ใหม่ โดยเฉพาะในด้านความงามและประสาทวิทยา โดยมีผลิตภัณฑ์ เช่น ยารักษาโรคจิต Vraylar และยารักษาอาการไมเกรน Ubrelvy คาดว่ายอดขายยาเหล่านี้จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
AbbVie ยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ โดยทุ่มทรัพยากรจำนวนมากในการพัฒนายารักษาโรคชนิดใหม่และการทดลองทางคลินิกเพื่อตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ทั่วโลกที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง บริษัทเร่งพัฒนายารักษาโรคผ่านศูนย์วิจัยและพัฒนาและโรงงานผลิตทั่วโลก โดยรักษาคุณภาพการผลิตให้ได้มาตรฐานสูง การมีสาขาอยู่ทั่วโลกทำให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็วและยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชีวเภสัช
นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย และบริษัทชีวเภสัชอื่นๆ อย่างแข็งขันเพื่อขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยผ่านความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้ร่วมมือภายนอก บริษัทจึงเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนา ซึ่งช่วยให้ได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาวในด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการพัฒนายา ในขณะเดียวกันก็มอบทางเลือกในการรักษาใหม่ๆ ให้กับผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
โดยสรุปแล้ว AbbVie มีศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาที่โดดเด่นและมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยทั่วโลกด้วยยาที่สร้างสรรค์ ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในด้านวิทยาศาสตร์และธุรกิจทำให้บริษัทได้รับชื่อเสียงในอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนาระบบดูแลสุขภาพทั่วโลก
ราคาหุ้นและผลการดำเนินงานทางการเงินของ AbbVie
ในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมชีวเภสัชกรรม AbbVie ได้แสดงให้เห็นถึงผลงานที่โดดเด่นของหุ้นในตลาด จากแผนภูมิราคาหุ้นในอดีต พบว่าแนวโน้มโดยรวมของหุ้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
AbbVie จดทะเบียนอย่างเป็นทางการหลังจากแยกตัวออกมาจาก Abbott Laboratories ในปี 2013 โดยมีราคาหุ้นเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 45 ดอลลาร์ ในฐานะบริษัทชีวเภสัชที่มุ่งเน้นการพัฒนายาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ บริษัทสามารถดึงดูดนักลงทุนได้อย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยในด้านภูมิคุ้มกัน ประสาทวิทยา และมะเร็งวิทยา ด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนาและการเข้าซื้อกิจการเชิงกลยุทธ์ ทำให้ผลงานในตลาดของบริษัทดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตั้งแต่ IPO ราคาหุ้นและมูลค่าตลาดของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บริษัทเป็นผู้เล่นหลักในภาคชีวเภสัชกรรมระดับโลก
ระหว่างปี 2015 ถึง 2020 ราคาหุ้นของ AbbVie เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนหลักจากความสำเร็จอย่างมหาศาลของผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทอย่าง Humira รวมถึงการเปิดตัวยาใหม่ๆ อื่นๆ เมื่อ Humira ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง บริษัทจึงขยายส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งส่งผลให้รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตขึ้น
ในช่วงเวลาดังกล่าว ราคาหุ้นของบริษัททะลุระดับ 100 ดอลลาร์ และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 122 ดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความคาดหวังของนักลงทุนต่อการพัฒนาในอนาคตของบริษัท นอกจากนี้ การลงทุนอย่างต่อเนื่องของบริษัทในด้านการวิจัยและพัฒนายังช่วยวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเปิดตัวยาที่ประสบความสำเร็จในภายหลัง ซึ่งช่วยตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมชีวเภสัชของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ตั้งแต่ปี 2020 ราคาหุ้นของบริษัทมีการผันผวนบ้าง โดยส่วนใหญ่เกิดจากการแข่งขันในตลาดที่เพิ่มขึ้นและการหมดอายุของสิทธิบัตรของ Humira เมื่อมีการนำยาสามัญมาใช้ ยอดขายของ Humira ก็เผชิญกับภัยคุกคาม ส่งผลให้รายได้ของบริษัทได้รับแรงกดดัน อย่างไรก็ตาม AbbVie ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กลับมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ และขยายตลาดโดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มช่องว่างด้านรายได้
บริษัทประสบความสำเร็จในการดึงดูดความสนใจของนักลงทุนด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับการลงทุนด้านภูมิคุ้มกันและประสาทวิทยา และแม้จะมีความผันผวน แต่ราคาหุ้นยังคงค่อนข้างคงที่ ในเดือนมิถุนายน 2022 บริษัทได้แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 164 ดอลลาร์ ซึ่งเน้นย้ำถึงความสามารถในการปรับตัวอย่างยืดหยุ่นในช่วงเวลาที่ท้าทาย และศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
ตั้งแต่ปี 2024 ราคาหุ้นของ AbbVie ผันผวนระหว่าง 150 ถึง 180 ดอลลาร์ โดยล่าสุดราคาหุ้นพุ่งขึ้นแตะระดับ 190 ถึง 199 ดอลลาร์ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพการเติบโตในอนาคต เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2024 ราคาหุ้นของบริษัทแตะระดับสูงสุดที่ 199.47 ดอลลาร์ ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่องของบริษัทในภาคชีวเภสัชกรรมและการยอมรับอย่างแข็งแกร่งจากนักลงทุน
จากมุมมองทางการเงิน บริษัทประสบความสำเร็จในการรับมือกับผลกระทบจากการหมดอายุสิทธิบัตรของ Humira ในไตรมาสที่ 2 ปี 2024 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 14,460 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.48% จากไตรมาสก่อนหน้า การเติบโตที่สำคัญนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งของตลาดและยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ว่าตำแหน่งทางการแข่งขันของบริษัทในอุตสาหกรรมชีวเภสัชยังคงแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้น แต่รายได้สุทธิอยู่ที่เพียง 1.36 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 59.09% เมื่อเทียบกับปี 2023 การลดลงนี้ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านการวิจัยและพัฒนาและการตลาด สถานการณ์นี้ส่งสัญญาณให้นักลงทุนทราบว่าบริษัทกำลังเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมต้นทุนและการปรับปรุงประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงแรงกดดันจากการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาจำนวนมากซึ่งมักเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมชีวเภสัช
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2024 กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ AbbVie อยู่ที่ 2.98 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่ นัก วิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.95 ดอลลาร์ และยังคงเท่าเดิมเมื่อเทียบกับปีก่อน ผลลัพธ์นี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นทางการเงิน ของ บริษัทในการเผชิญกับความท้าทายทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาผลกำไรอีกด้วย
ที่น่าสังเกตคือ บริษัทได้เกินความคาดหวังของตลาดในทั้งสี่ไตรมาสที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานที่ต่อเนื่องนี้ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับตลาด แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความมุ่งมั่นของบริษัทในการรับมือกับความท้าทายในตลาดและรักษาผลกำไรเอาไว้ได้ แม้ว่าตลาดจะมีความผันผวน แต่บริษัทก็สามารถสร้างเสถียรภาพให้กับรายได้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคชีวเภสัชกรรมต่อไป
โดยสรุปแล้ว ผลประกอบการ ของ หุ้น AbbVie ไม่เพียงสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคง ของ บริษัทเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จด้านนวัตกรรมและการขยายสายผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องและ EPS ที่ดีกว่าที่คาดไว้ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งเน้นย้ำถึงความสามารถในการทำกำไรและศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน ของ บริษัท
การวิเคราะห์การลงทุนหุ้น AbbVie
นอกเหนือจากผลงานทางการเงินแล้ว ผลตอบแทนที่สูงเป็นพิเศษ ของ AbbVie ยังเน้นย้ำถึงศักยภาพการลงทุนระยะยาวที่แข็งแกร่งของบริษัทอีกด้วย ดังที่แสดงไว้ในแผนภูมิข้างต้น ในช่วงปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนของบริษัทอยู่ที่ 24.94% ซึ่งแซงหน้าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่าง Apple และ Microsoft รวมถึงดัชนี S&P 500 และ Nasdaq อย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผลงานของบริษัทโดดเด่นเป็นพิเศษ ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการเติบโตทางธุรกิจและการยอมรับของตลาดของบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนในการพัฒนาในอนาคตของบริษัทอีกด้วย
นอกจากนี้ เมื่อพูดถึงเงินปันผล AbbVie ได้เพิ่มการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ที่บริษัทกลายเป็นบริษัทอิสระในปี 2013 โดยปัจจุบันเงินปันผลอยู่ที่ 6.20 ดอลลาร์ การเติบโตของเงินปันผลอย่างต่อเนื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ ของ บริษัทในผลกำไรในอนาคต และมอบแหล่งรายได้ที่มั่นคงให้กับนักลงทุน ทำให้หุ้นของบริษัทมีความน่าดึงดูดใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผลตอบแทนจากเงินปันผลคงที่นั้นน่าดึงดูดใจยิ่งขึ้นไปอีก
ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ของ บริษัทอยู่ที่ 3.17% และบริษัทได้ปรับเพิ่มเงินปันผลเป็นเวลา 11 ปีติดต่อกัน ซึ่งทำให้บริษัทมีความน่าดึงดูดใจอย่างมากสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนจากกระแสเงินสด นโยบายการจ่ายเงินปันผลที่มั่นคงและเติบโตไม่เพียงสะท้อนถึงผลกำไรที่มั่นคง ของ บริษัทเท่านั้น แต่ยังมอบกระแสรายได้ที่เชื่อถือได้ให้กับนักลงทุน ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจในการลงทุนอีกด้วย ในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน กลยุทธ์การจ่ายเงินปันผลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยช่วยให้นักลงทุนบรรเทาความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดได้
เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่ง เช่น Johnson & Johnson แล้ว ผลประกอบการด้านเงินปันผลของ AbbVie ถือว่าดีกว่าเมื่อเทียบกัน ซึ่งยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงข้อได้เปรียบในการแข่งขันในการดึงดูดผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงการที่ฝ่ายบริหารให้ความสำคัญกับผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเท่านั้น แต่ยังอาจดึงดูดนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการกระแสเงินสดที่มั่นคงได้มากขึ้น ซึ่งอาจผลักดันให้ราคาหุ้นของบริษัทเติบโตต่อไป
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าแม้บริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่สูง 90% ส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทได้รับแรงกดดันในระดับหนึ่ง อัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความยืดหยุ่นทางการเงินและศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ของ AbbVie ซึ่งหมายความว่านักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดว่าบริษัทสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
การรักษาการเติบโตของรายได้ให้คงที่ก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้และสุขภาพทางการเงินโดยรวมของบริษัท ดังนั้น การประเมินกลยุทธ์การจัดการทางการเงินและความสามารถในการรับมือกับความท้าทายทางการตลาดอย่างรอบคอบจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจะตัดสินใจอย่างรอบรู้
นอกจากนี้ Humira ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ขายดีระดับโลกของ AbbVie ก็สูญเสียสิทธิบัตรคุ้มครองในสหรัฐอเมริกาไปในปี 2023 ส่งผลให้ยอดขายขาดหายไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้ว่าบริษัทจะสามารถทดแทนรายได้บางส่วนของ Humira ด้วยยาตัวใหม่ได้แล้ว แต่ยังคงต้องดูกันต่อไปว่าจะสามารถชดเชยส่วนที่ขาดหายไปได้ทั้งหมดหรือไม่ และจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่าการเติบโตของราคาหุ้นของบริษัทยังสะท้อนถึงสภาวะตลาดที่เป็นบวกอีกด้วย มูลค่าที่เหมาะสม ของ บริษัทอยู่ที่ประมาณ 197 ดอลลาร์ โดยราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 193 ดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งสองหุ้นนั้นมีความใกล้เคียงกันมาก สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคืออัตราส่วนราคาต่อกำไรของ AbbVie อยู่ที่ 64.97 ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดมีความคาดหวังสูงสำหรับกำไรในอนาคต นอกจากนี้ยังหมายความว่าราคาหุ้นยังมีศักยภาพที่จะปรับตัวสูงขึ้น ทำให้หุ้นตัวนี้คุ้มค่าแก่การให้ความสนใจของนักลงทุน
แม้ว่า AbbVie จะเผชิญกับความเสี่ยงทางการเงินบางประการ เช่น แรงกดดันด้านหนี้สิน แต่ศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวและผลงานการจ่ายเงินปันผลที่แข็งแกร่งยังคงทำให้ AbbVie เป็นบริษัทที่น่าดึงดูดใจสำหรับการลงทุน นักลงทุนควรทำการศึกษาวิจัยด้วยตนเองก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทางเลือกของตนสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล
ด้าน | รายละเอียด | หมายเหตุ |
ภาพรวม | บริษัทชีวเภสัชชั้นนำที่มุ่งเน้นด้านนวัตกรรม | แยกตัวออกมาจากแอบบอตต์ในปี 2013 |
สินค้าหลัก | ฮูมิร่า อิมบรูวิกา | ฮูมิร่า เป็นยาขายดีอันดับหนึ่ง |
การเงิน | รายได้ไตรมาสที่ 2 ปี 2024: 14.46 พันล้านเหรียญสหรัฐ (+17.48%) | รายได้สุทธิ: 1.36 พันล้านเหรียญสหรัฐ (-59.09%) |
ราคาหุ้น | ช่วงราคา 190–199 | สูงสุดที่ 199.47 ดอลลาร์ (11 กันยายน 2024) |
ศักยภาพการลงทุน | ผลตอบแทนจากเงินปันผล 3.17% การเปิดตัวยาอย่างต่อเนื่อง | หนี้สินสูง ความเสี่ยงในการหมดอายุสิทธิบัตร |
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ