2025-09-15
สกุลเงินมีอิทธิพลต่อกันอย่างไรในตลาด Forex?
คู่สกุลเงินส่งอิทธิพลต่อกันผ่านสกุลเงินที่ใช้ร่วมกัน ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ และบรรยากาศของตลาด ดังนั้น การเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินหนึ่งมักจะส่งผลต่อคู่สกุลเงินอื่นที่มีสกุลเงินฐานหรือสกุลเงินอ้างอิงเหมือนกัน
Forex Correlation คือการวัดว่าคู่สกุลเงินเคลื่อนไหวสัมพันธ์กันอย่างไร
การทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่เพียงเรื่องทางวิชาการ แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังสำหรับเทรดเดอร์ในการระบุความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ ปรับกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และค้นหาโอกาสที่อาจไม่เคยเห็นมาก่อน
บทความนี้จะแจกแจงว่า Forex Correlation คืออะไร ทำไมจึงสำคัญ วิธีการวัด และแนวทางที่เทรดเดอร์สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
Forex Correlation วัดการเคลื่อนไหวสัมพันธ์ของคู่สกุลเงิน โดยบอกได้ว่าพวกมันเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันหรือสวนทางกัน
การเข้าใจความสัมพันธ์ช่วยให้เทรดเดอร์บริหารความเสี่ยง กระจายการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และค้นหาโอกาสการเทรดที่ซ่อนอยู่
ความสัมพันธ์สำคัญ ได้แก่ EUR/USD & GBP/USD (สัมพันธ์เชิงบวก), EUR/USD & USD/CHF (สัมพันธ์เชิงลบ), กลุ่มสกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น AUD, CAD และ NZD รวมถึงสกุลเงินปลอดภัยอย่าง JPY และ CHF
ความสัมพันธ์เหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของตลาด และวัฏจักรสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้นเทรดเดอร์จึงต้องติดตามอย่างสม่ำเสมอในหลายกรอบเวลา
แกนหลักของ Forex Correlation อยู่ที่ตัวชี้วัดที่สำคัญและเข้าใจง่าย นั่นคือ ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) ซึ่งมีค่าตั้งแต่ −1 ถึง +1 หรือ -100% ถึง +100%
+1 หมายถึงความสัมพันธ์เชิงบวกที่สมบูรณ์: คู่สกุลเงินทั้งสองเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันตลอดเวลา
−1 หมายถึงความสัมพันธ์เชิงลบที่สมบูรณ์: เมื่อคู่หนึ่งขึ้น อีกคู่จะลง
0 หมายถึงไม่มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจน: การเคลื่อนไหวเป็นอิสระต่อกัน
ในทางปฏิบัติ ความสัมพันธ์มักไม่สมบูรณ์ ค่าสหสัมพันธ์ที่ +0.80 บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ขณะที่ค่า −0.70 สื่อถึงความสัมพันธ์ผกผันที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ ที่สำคัญ ความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นพลวัต สิ่งที่เป็นจริงในหนึ่งกรอบเวลา อาจไม่เหมือนกันในอีกกรอบหนึ่ง และมักเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาด
บางความสัมพันธ์มีความต่อเนื่องยาวนานจนกลายเป็นความรู้ร่วมกันของเหล่าเทรดเดอร์
EUR/USD และ GBP/USD มักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากทั้งคู่ถูกอ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐ และตอบสนองต่อความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของดอลลาร์
โดยทั่วไปแล้ว EUR/USD และ USD/CHF มักจะแสดงความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม เนื่องจากนักลงทุนมองฟรังก์สวิสเป็นสกุลเงินปลอดภัยเมื่อยูโรเผชิญแรงกดดัน
สกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD), ดอลลาร์แคนาดา (CAD) และดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มักมีความเชื่อมโยงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ CAD ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากน้ำมัน ในขณะที่ AUD มักเคลื่อนไหวตามราคาทองคำและโลหะอุตสาหกรรม
สกุลเงินที่ปลอดภัย อย่างเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF) มักแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นด้านความเสี่ยงของตลาดโลก
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นซ้ำเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์มีกรอบการวิเคราะห์ที่เป็นประโยชน์ แต่ก็ไม่เคยเป็นสิ่งที่แน่นอนตายตัว
เพื่อใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ เทรดเดอร์จำเป็นต้องวัดค่าก่อน โดยมีเครื่องมือหลากหลายที่ช่วยให้ทำได้ ได้แก่:
Correlation Matrices: แสดงความสัมพันธ์เชิงตัวเลขระหว่างคู่สกุลเงิน มักใช้การไล่สีเพื่อเน้นระดับความแข็งแกร่งและทิศทาง
Heat Maps: ให้ภาพรวมเชิงภาพของความสัมพันธ์ระหว่างหลายคู่สกุลเงิน
ซอฟต์แวร์ทางสถิติและสเปรดชีตแบบกำหนดเอง: ใช้สำหรับการวิเคราะห์ขั้นสูง รวมถึงการตรวจสอบ cross-correlation ในช่วงเวลาที่ต่างกัน
กรอบเวลา (Timeframes) มีความสำคัญอย่างมาก คู่สกุลเงินอาจมีความสัมพันธ์สูงในกรอบเวลารายเดือน แต่มีความสัมพันธ์ต่ำในกรอบรายวันหรือรายชั่วโมง
ดังนั้น เทรดเดอร์มืออาชีพจึงเฝ้าติดตามความสัมพันธ์ในหลายช่วงเวลา เพื่อเข้าใจทั้งโครงสร้างระยะยาวและความผันผวนระยะสั้น
ความสัมพันธ์มีบทบาทโดยตรงในการออกแบบพอร์ตและการจัดการการเทรดรายวัน:
1) การกระจายความเสี่ยง
เทรดเดอร์ที่ถือหลายออเดอร์มักเชื่อว่ากำลังลดความเสี่ยง แต่หากคู่สกุลเงินเหล่านั้นมีความสัมพันธ์สูง ก็อาจเพียงแค่เพิ่มความเสี่ยงซ้ำซ้อน การติดตามความสัมพันธ์ช่วยให้การกระจายความเสี่ยงมีประสิทธิภาพจริง
2) การป้องกันความเสี่ยง
คู่สกุลเงินที่มีความสัมพันธ์เชิงลบสามารถชดเชยกันได้ ตัวอย่างเช่น การถือ Long EUR/USD พร้อมกับ Long USD/CHF มักช่วยลดความเสี่ยงลงได้
3) การเทรดแบบ Pair Trading
เทรดเดอร์สามารถใช้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนชั่วคราวของคู่ที่ปกติมีความสัมพันธ์สูง โดยคาดว่าท้ายที่สุดจะกลับเข้าสู่ความสัมพันธ์ตามเดิม
4) การยืนยันสัญญาณ
การเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์สามารถทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า ว่าความเชื่อมั่นของตลาดหรือปัจจัยขับเคลื่อนกำลังเปลี่ยนไป
ความสัมพันธ์ของค่าเงินไม่เคยคงที่ตลอดไป หลายปัจจัยมีผลทำให้เปลี่ยนแปลง ได้แก่:
นโยบายการเงิน: เส้นทางดอกเบี้ยที่แตกต่างกันมักทำให้ความสัมพันธ์อ่อนลงหรือกลับทิศ
เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์: สงคราม การเลือกตั้ง หรือข้อพิพาททางการค้า อาจเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่ยาวนาน
วัฏจักรของสินค้าโภคภัณฑ์: ราคาน้ำมันที่ผันผวน การปรับขึ้นของทองคำ หรือราคาสินค้าเกษตรส่งผลต่อสกุลเงินที่เชื่อมโยงกับสินค้าเหล่านี้
สภาวะตลาด: ในช่วงวิกฤต ความสัมพันธ์มักจะเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากความเชื่อมั่นความเสี่ยงเป็นตัวกำหนดทิศทางการไหลของเงินทุน
การตระหนักถึงปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถปรับกลยุทธ์ได้ก่อนที่ความสัมพันธ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
แม้การวิเคราะห์ความสัมพันธ์จะมีคุณค่า แต่ก็มีข้อควรระวัง ได้แก่:
Correlation ไม่ได้หมายถึงสาเหตุ: แค่คู่สกุลเงินเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ไม่ได้หมายความว่าคู่หนึ่งเป็นตัวกำหนดอีกคู่
ความสัมพันธ์ที่แตกหัก: การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันอาจทำให้เทรดเดอร์ไม่ทันตั้งตัว หากเผลอคิดว่าความสัมพันธ์จะคงอยู่เสมอ
อคติจากข้อมูลในอดีต: ความสัมพันธ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาจไม่เกิดขึ้นภายใต้สภาวะตลาดใหม่
การกระจายความเสี่ยงมากเกินไป: การพยายามรักษาสมดุลให้กับการซื้อขายที่สัมพันธ์กันมากเกินไปอาจทำให้ผลตอบแทนลดลง โดยไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
เทรดเดอร์ที่รอบคอบจึงมองว่า Correlation เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือ ไม่ใช่ระบบที่สามารถใช้เพียงอย่างเดียว
EUR/USD vs USD/CHF: ในช่วงวิกฤตหนี้ยุโรป ฟรังก์สวิสแข็งค่าขึ้นเมื่อมีนักลงทุนแสวงหาความปลอดภัย ส่งผลให้ความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างคู่นี้ยิ่งชัดเจน
CAD และน้ำมันดิบ: การส่งออกน้ำมันของแคนาดาทำให้ CAD เชื่อมโยงกับราคาพลังงานโลก การร่วงลงอย่างรุนแรงของน้ำมันมักกดดันค่าเงิน CAD อย่างมาก
เหตุการณ์ความตึงเครียดระดับโลก: ในวิกฤตการเงินปี 2008 และช่วงการแพร่ระบาดปี 2020 ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สกุลเงินหลักพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากแรงกดดันจากการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk aversion) ครอบงำตลาด
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นทั้งประโยชน์และความเปราะบางของความสัมพันธ์ในตลาด
เพื่อใช้ความสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทรดเดอร์ควร:
ตรวจสอบความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ: เพราะความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงได้ตามเวลาและเหตุการณ์
เลือกกรอบเวลาให้เหมาะกับสไตล์: เทรดเดอร์ระยะสั้นควรใช้ข้อมูลรายวันหรือรายชั่วโมง ส่วนเทรดเดอร์ระยะยาวอาจเลือกใช้รายสัปดาห์หรือรายเดือน
ผสมผสานกับการวิเคราะห์อื่น ๆ: ไม่ว่าจะเป็นเทคนิค พื้นฐาน หรือข้อมูลด้านความเชื่อมั่น เพื่อสร้างบริบทที่ครบถ้วน
กำหนดขนาดการลงทุนอย่างมีวินัย: เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ทับซ้อนกันจากการเปิดออเดอร์ในคู่ที่มีความสัมพันธ์สูง
การบูรณาการการวิเคราะห์ความสัมพันธ์อย่างรอบคอบ ช่วยให้เทรดเดอร์สร้างกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่นและมั่นคงยิ่งขึ้น
Forex Correlation คือกรอบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของค่าเงินทั่วโลก เผยให้เห็นความเสี่ยงที่อาจมองไม่เห็น มอบโอกาสในการป้องกันความเสี่ยง และแสดงให้เห็นว่าชะตากรรมทางเศรษฐกิจของแต่ละชาติผูกพันกันในตลาดการเงินอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเครื่องมืออื่น ๆ การใช้ความสัมพันธ์ต้องใช้ความระมัดระวัง ความสัมพันธ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ รูปแบบอาจแตกหัก และสิ่งที่ไม่คาดคิดย่อมเกิดขึ้นเสมอ
แต่สำหรับเทรดเดอร์ที่มีวินัย การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ไม่เพียงช่วยป้องกันความเสี่ยง แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ ๆ ทำให้ใยซับซ้อนของตลาดเงินตรากลายเป็นแผนที่ที่สามารถใช้กำหนดทิศทางได้
ประเภทความสัมพันธ์ | ผลกระทบต่อการเทรด |
เชิงบวกอย่างแข็งแกร่ง | หลีกเลี่ยงการเปิดหลายออเดอร์ในคู่ที่มีความสัมพันธ์สูง เพื่อลดความเสี่ยงจากการถือครองซ้ำซ้อน |
เชิงลบอย่างรุนแรง | สามารถป้องกันความเสี่ยงได้โดยการซื้อขายคู่ที่มีความสัมพันธ์แบบผกผันกัน |
ความสัมพันธ์อ่อนแอหรือไม่มีเลย | สามารถเทรดคู่เงินได้อย่างอิสระ ลดความเสี่ยงของการทับซ้อนกัน |
1. ทำไมบางสกุลเงินถึงเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ขณะที่บางสกุลเงินเคลื่อนไหวสวนทางกัน?
ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีร่วมกัน ตัวอย่างเช่น EUR/USD และ GBP/USD มักจะขึ้นหรือลงพร้อมกัน ส่วน EUR/USD และ USD/CHF มักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม เพราะฟรังก์สวิสถูกมองว่าเป็นสกุลเงินปลอดภัย
2. ความสัมพันธ์สามารถทำนายการเคลื่อนไหวราคาในอนาคตได้หรือไม่?
ไม่สามารถใช้ได้อย่างแม่นยำ ความสัมพันธ์เป็นเพียงแนวทางในการมองความเชื่อมโยง ไม่ใช่เครื่องมือทำนาย แต่สามารถช่วยให้เห็นความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยง หรือโอกาสการเทรด อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อาจเปลี่ยนแปลงได้กะทันหัน
3. สามารถติดตามความสัมพันธ์ได้อย่างง่ายดายอย่างไร?
ใช้เครื่องมือออนไลน์ เช่น Correlation Matrices หรือ Heat Maps (เช่น Myfxbook, Mataf) และควรตรวจสอบในหลายกรอบเวลา ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน เพื่อให้เห็นทั้งความสัมพันธ์ที่คงที่และความเปลี่ยนแปลง
4. จะหลีกเลี่ยงการเพิ่มความเสี่ยงซ้ำซ้อนจากการเทรดคู่ที่มีความสัมพันธ์สูงได้อย่างไร?
ควรรู้ว่าคู่สกุลเงินใดเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน จากนั้นลดขนาดออเดอร์ กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่ำกว่า หรือใช้คู่ที่มีความสัมพันธ์เชิงลบเพื่อป้องกันความเสี่ยง การมีความรู้และตระหนักรู้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ