ค้นพบการซื้อขายความถี่สูง (HFT) การทำงานโดยใช้อัลกอริทึมและความเร็ว และเหตุใดจึงเป็นตัวเปลี่ยนเกมในตลาดการเงินสมัยใหม่
ในโลกของตลาดการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความเร็วคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ชี้วัดความสำเร็จ ซึ่งเห็นได้ชัดใน High Frequency Trading (HFT) หรือที่เรียกว่า การเทรดความถี่สูง เป็นรูปแบบการเทรดอัตโนมัติขั้นสูงที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งคำสั่งซื้อขายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
สำหรับนักลงทุนทั่วไป HFT อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวหรือซับซ้อน เหมือนเป็นเกมของเครื่องจักรที่เล่นกันด้วยความเร็วและข้อมูลมหาศาล แต่แท้จริงแล้ว HFT ทำงานอย่างไร? และทำไมจึงมีบทบาทสำคัญในตลาดยุคใหม่?
คู่มือฉบับนี้จะพาคุณไปรู้จักกับความหมายของ HFT วิธีการทำงาน กลยุทธ์ที่อยู่เบื้องหลัง ข้อดีข้อเสีย รวมถึงประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของมันในตลาดการเงินอย่างครบถ้วน
High-Frequency Trading (HFT) หรือการเทรดความที่สูง คือรูปแบบหนึ่งของการเทรดอัตโนมัติที่ใช้ชุดคำสั่งอัลกอริทึมที่ซับซ้อน คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง และการเชื่อมต่อที่มีความหน่วงต่ำมาก (ultra-low latency) เพื่อส่งคำสั่งซื้อขายจำนวนมากภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที การเทรดในลักษณะนี้มีความเร็วและปริมาณที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ทัน HFT มุ่งหวังจะทำกำไรจากความคลาดเคลื่อนของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่มิลลิวินาทีหรือไมโครวินาที
แม้ว่าการเทรดด้วยอัลกอริทึมจะครอบคลุมกลยุทธ์ที่หลากหลาย แต่ HFT จะเน้นที่การทำธุรกรรมในอัตราเร็วสูงโดยเฉพาะ และใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง โดยรักษาผลกำไรก่อนที่จะมีการปรับราคา
HFT ในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ
แม้ว่าการพูดถึง HFT มักจะเน้นไปที่หุ้น แต่จริง ๆ แล้วกลยุทธ์เหล่านี้ถูกนำไปใช้ในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น:
หุ้น : หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีการใช้ HFT มากที่สุด โดยเฉพาะในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น NYSE หรือ NASDAQ
ฟิวเจอร์สและออปชัน : HFT มีบทบาทสำคัญในการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ ซึ่งความผันผวนและการใช้เลเวอเรจเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
Forex : ตลาดสกุลเงินเหมาะสำหรับ HFT เนื่องจากมีขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องสูง และเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง
HFT ดำเนินการผ่านการผสานกันขององค์ประกอบหลายประการ ได้แก่:
กลยุทธ์เชิงอัลกอริธึมที่ใช้ระบุโอกาสในการทำกำไร
ระบบส่งคำสั่งที่มีความหน่วงต่ำมาก (low-latency) ซึ่งสามารถส่งคำสั่งได้ในระดับไมโครวินาที
ฟีดข้อมูลเรียลไทม์ที่วิเคราะห์สภาวะตลาดอย่างต่อเนื่อง
เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับระบบของตลาดหลักทรัพย์ (colocated servers) เพื่อลดความล่าช้าในการส่งคำสั่งให้เหลือน้อยที่สุด
กระบวนการทั้งหมดเริ่มต้นเมื่ออัลกอริทึมสแกนตลาดหลายแห่งพร้อมกันเพื่อค้นหาความไม่มีสมดุลของราคาเล็ก ๆ หรือโอกาสในการเก็งกำไรจากราคาที่แตกต่างกัน (arbitrage) หากอัลกอริทึมพบจุดใดจุดหนึ่ง เช่น หุ้นตัวหนึ่งมีราคาถูกกว่าที่ตลาดหนึ่งเมื่อเทียบกับอีกตลาดหนึ่ง ระบบจะทำการส่งคำสั่งซื้อขายทันทีเพื่อทำกำไรก่อนที่ช่องว่างของราคานั้นจะหายไป
ตัวอย่างเช่น หากหุ้น XYZ อยู่ที่ 100.02 ดอลลาร์ในตลาด A และ 100.04 ดอลลาร์ในตลาด B ระบบ HFT อาจซื้อหุ้นในตลาด A และขายในตลาด B พร้อมกันทันที ทำให้ได้กำไร 0.02 ดอลลาร์ต่อหุ้น แม้ว่ากำไรต่อหน่วยจะน้อยมาก แต่เมื่อดำเนินการในปริมาณมากและด้วยความเร็วสูง กลยุทธ์นี้ก็สามารถสร้างผลกำไรอย่างมหาศาลได้
1. การทำตลาด (Market Making)
บริษัทที่ใช้ HFT มักวางคำสั่งซื้อและขายแบบจำกัดราคาในตลาดพร้อมกัน เพื่อหวังทำกำไรจากส่วนต่างของราคาเสนอซื้อกับเสนอขาย (bid-ask spread) เป้าหมายคือเป็นรายแรกที่สามารถจับคู่คำสั่งซื้อหรือขายกับผู้เล่นคนอื่นได้ ความเร็วในการส่งคำสั่งและการปรับราคาช่วยให้พวกเขารับมือกับความเสี่ยงของการถือครองสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การเก็งกำไรจากสถิติ (Statistical Arbitrage)
กลยุทธ์นี้เน้นการใช้ความแตกต่างของราคาชั่วคราวระหว่างหลักทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันหรือระหว่างตลาดต่าง ๆ โดยบริษัท HFT จะใช้แบบจำลองทางสถิติในการระบุโอกาสเหล่านี้และดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อเก็บกำไรเล็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง
3. การเก็งกำไรจากความหน่วงเวลา (Latency Arbitrage)
กลยุทธ์นี้อาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วในการรับข้อมูล หากตลาดหนึ่งอัปเดตราคาเร็วกว่าตลาดอื่น ระบบ HFT สามารถใช้ข้อมูลที่เร็วกว่าในการส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อทำกำไรจากช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ราคาจะปรับตัวตามกัน
4. การจุดกระแสราคา (Momentum Ignition)
กลยุทธ์นี้ค่อนข้างอ่อนไหวและเป็นที่ถกเถียงกัน โดย HFT จะส่งคำสั่งซื้อหรือขายเล็ก ๆ หลายครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ราคาขยับขึ้นหรือลง และสร้างแนวโน้มชั่วคราว เมื่อราคาขยับไปตามทิศทางที่ต้องการ นักลงทุนคนอื่นก็อาจตามเข้ามาแล้ว HFT ก็จะรีบขายหรือซื้อกลับเพื่อทำกำไรก่อนที่แนวโน้มจะจบ
5. การเทรดตามเหตุการณ์ (Event-Based Trading)
ระบบ HFT ยังสามารถวิเคราะห์ข่าว รายงานผลประกอบการ หรือข้อมูลเศรษฐกิจแบบเรียลไทม์ โดยใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) เพื่อวิเคราะห์และตัดสินใจส่งคำสั่งซื้อขายภายในเวลาเพียงไม่กี่มิลลิวินาที
1. เพิ่มสภาพคล่อง
บริษัทที่ใช้ HFT มักทำหน้าที่เป็นผู้สร้างตลาด (market makers) โดยการวางคำสั่งซื้อและขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดและทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขาย (bid-ask spread) แคบลง ส่งผลให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับทุกฝ่ายที่เข้าร่วม
2. ช่วยในการค้นหามูลค่าที่แท้จริงของราคา
ด้วยการปรับราคาและตอบสนองต่อข้อมูลต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว HFT ช่วยให้ราคาหลักทรัพย์ในตลาดต่าง ๆ มีความสอดคล้องกันและสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างทันท่วงที
3. ต้นทุนการทำธุรกรรมต่ำลง
การที่ HFT ทำให้ส่วนต่างราคาซื้อขายแคบลง ส่งผลให้ต้นทุนการซื้อขายของนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยลดลง
ความเสี่ยง
แม้ว่าการเทรดความถี่สูงจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ได้รับเสียงวิจารณ์จากหน่วยงานกำกับดูแล นักวิชาการ และนักลงทุนทั่วไปอย่างกว้างขวาง
1. ข้อกังวลเรื่องการบิดเบือนตลาด
บางคนโต้แย้งว่ากลยุทธ์บางอย่างของ HFT เช่น การจุดกระแสราคา (momentum ignition) หรือการส่งคำสั่งซื้อขายจำนวนมากแล้วยกเลิกอย่างรวดเร็ว (quote stuffing) อาจสร้างสัญญาณราคาที่ผิดพลาดและบิดเบือนตลาด
2. เหตุการณ์ Flash Crash
ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2010 ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างรวดเร็วเกือบ 1,000 จุดภายในเวลาไม่กี่นาที โดยมีการวิจารณ์ว่า HFT เป็นตัวเร่งให้เหตุการณ์รุนแรงขึ้นผ่านกลไกย้อนกลับและการซื้อขายที่รวดเร็วมากเกินไป
3. ความได้เปรียบด้านความเร็วที่ไม่เป็นธรรม
นักวิจารณ์โต้แย้งว่า HFT ทำให้บริษัทที่มีเงินทุนหนาได้รับความได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ตลาดเข้าถึงได้ยากหรือมีความผันผวนสำหรับนักลงทุนที่ช้ากว่าและเล็กกว่า
4. ความเสี่ยงต่อระบบตลาดโดยรวม
เมื่อการซื้อขายถูกควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติมากขึ้น ความผิดพลาดของซอฟต์แวร์หรืออัลกอริทึมที่ล้มเหลวอาจส่งผลลบที่ไม่คาดคิด ระบบ HFT ที่ทำงานผิดพลาดสามารถเพิ่มความผันผวนและสร้างความวุ่นวายในตลาดได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่แล้ว HFT อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นภัยโดยตรง แต่ก็มีผลทำให้ตลาดดูซับซ้อนและยากต่อการรับมือได้
ในทางกลับกัน HFT ช่วยทำให้ราคาซื้อขายในตลาดมีความแตกต่างน้อยลง และเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจทำให้ตลาดมีความผันผวนในระยะสั้นสูงขึ้น และบางครั้งสภาพคล่องที่เห็นอาจเป็นสภาพคล่องแฝง เพราะคำสั่งซื้อขายเหล่านั้นอาจถูกยกเลิกเร็วมากในช่วงเวลาที่ตลาดตึงเครียด นักลงทุนระยะยาวที่เน้นปัจจัยพื้นฐานจึงได้รับผลกระทบน้อยกว่านักเทรดระยะสั้นที่พึ่งพารูปแบบทางเทคนิค
สำหรับนักลงทุนรายย่อย สิ่งที่ควรทำคือเข้าใจผลกระทบของ HFT โดยไม่ต้องกังวลเกินไป เนื่องจากสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น การใช้คำสั่งซื้อขายแบบจำกัด หลีกเลี่ยงหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำมาก และติดตามข่าวสารตลาดอยู่เสมอ
High Frequency Trading คือเทคโนโลยีที่ทันสมัยของโลกการเงินยุคใหม่ โดยผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีขั้นสูง ข้อมูล และกลยุทธ์ เพื่อหาโอกาสทำกำไรในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แม้ว่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและทำให้ราคาสะท้อนข้อมูลได้เร็วขึ้น แต่ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับความยุติธรรม ความโปร่งใส และความเสี่ยงต่อระบบตลาดโดยรวม
ในยุคที่การเทรดถูกขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติมากขึ้น การเข้าใจและติดตามข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อช่วยให้เราปรับตัวและอยู่รอดในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ได้อย่างมั่นใจ
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ค้นพบตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดสำหรับการเทรดออปชั่นในปี 2025 เรียนรู้ว่าเครื่องมือใดที่เทรดเดอร์ชั้นนำใช้ในการวิเคราะห์ความผันผวน แนวโน้ม และโมเมนตัมของตลาด
2025-05-22สำรวจว่าการวิเคราะห์อารมณ์และจิตวิทยาของตลาดส่งผลต่อ SGD ต่อ INR อย่างไร เรียนรู้การอ่านพฤติกรรมของผู้ซื้อขายและมองหาโอกาสในคู่ FX แบบไดนามิกนี้
2025-05-22อธิบายเกี่ยวกับเงินสินค้าและเงินเฟียต เรียนรู้ความแตกต่างที่สำคัญ บริบททางประวัติศาสตร์ และสาเหตุที่ประเทศส่วนใหญ่ใช้เงินเฟียตในปัจจุบัน
2025-05-22