Hedging และ Arbitrage ใช้กลยุทธ์ข้ามช่วง ข้ามตลาด และข้ามสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยงและทำกำไรจากความแตกต่างของราคา ต้องการทักษะในการวิเคราะห์ตลาดและการบริหารความเสี่ยง
การทำกำไรจากการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) และการเก็งกำไร (Arbitrage) มักหมายถึงการที่ผู้เข้าร่วมในตลาดฟิวเจอร์สใช้ความแตกต่างของราคาในช่วงเดือนที่ต่างกัน ตลาดที่ต่างกัน หรือสินค้าที่ต่างกัน โดยทำการซื้อและขายสัญญาฟิวเจอร์สที่แตกต่างกันสองประเภทพร้อมกัน เพื่อสร้างกำไรจากความเสี่ยง ถือเป็นรูปแบบพิเศษของการเก็งกำไรในตลาดฟิวเจอร์ส ซึ่งช่วยเสริมสร้างและพัฒนารูปแบบการเก็งกำไรให้หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ได้จำกัดเพียงการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสัมบูรณ์ของสัญญาฟิวเจอร์สเท่านั้น แต่ยังเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสัมพัทธ์ของสัญญาฟิวเจอร์สอีกด้วย
จากคำจำกัดความสามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลัก ดังนี้
การเก็งกำไรข้ามช่วง : เป็นการที่สมาชิกหรือผู้ลงทุนรายเดียวกันเปิดสถานะซื้อและขายในสัญญาฟิวเจอร์สชนิดเดียวกันแต่ต่างเดือนกัน โดยมีจำนวนเท่ากันและทิศทางตรงข้ามกัน เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคา และปิดสถานะด้วยการป้องกันความเสี่ยงหรือส่งมอบสินค้า ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุดในการเก็งกำไร โดยแบ่งออกเป็นการเก็งกำไรช่วงขาขึ้น ขาลง และรูปแบบผีเสื้อ
การเก็งกำไรข้ามตลาด : เป็นการทำกำไรจากส่วนต่างของราคาสินค้าเดียวกันในตลาดต่างประเทศและในประเทศ หรือการเก็งกำไรระหว่างตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและตลาดสินค้าจริง
การเก็งกำไรข้ามสินค้า : เป็นการเก็งกำไรระหว่างสินค้าที่มีความสัมพันธ์กันสูง เช่น สินค้าทดแทน หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกันระหว่างวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป โดยอาศัยความแตกต่างของแนวโน้มราคาที่แข็งแกร่งและอ่อนแอระหว่างสินค้าเหล่านั้น
Arbitrage หมายถึงการทำกำไรโดยการซื้อสินค้าหรือสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่าและขายในราคาที่สูงกว่า เมื่อเกิดความแตกต่างของราคาสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดเดียวกันหรือต่างตลาดกัน ส่วน Hedging คือการลดความเสี่ยงของการลงทุน โดยใช้วิธีการทำธุรกรรมสองรายการที่มีความเกี่ยวข้องกัน มีทิศทางตรงข้ามแต่มีปริมาณเท่ากัน เพื่อให้กำไรและขาดทุนหักล้างกัน แม้ว่าทั้งสองแนวคิดจะมีแก่นหลักเหมือนกันคือการซื้อสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งและขายสินทรัพย์ที่อ่อนแอ แต่ Hedging มีขอบเขตที่กว้างกว่าและการเก็งกำไรสามารถถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการป้องกันความเสี่ยงได้
Arbitrage คือการเปลี่ยนการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องเดิมของตนให้กลายเป็นการดำเนินการที่สมเหตุสมผล โดยปกติแล้วมักเป็นการซื้อขายสวนแนวโน้มตลาด สำหรับสินค้าที่เลือกทำการเก็งกำไรนั้น ควรมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างสูง เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันทั้งขาขึ้นและขาลงจึงจะสามารถทำกำไรได้ ในทางกลับกันหากพูดถึงเฉพาะ Hedging โดยไม่กล่าวถึง Arbitrage Hedging ถือเป็นการซื้อขายตามแนวโน้มตลาด โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าต่าง ๆ เพียงแค่เน้นความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของความผันผวนก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่างสินค้า ซึ่งอาจทำให้ทั้งสองสินค้าสามารถทำกำไรพร้อมกัน หรือขาดทุนพร้อมกันก็ได้
การประยุกต์ใช้ Hedging และ Arbitrage มีความหลากหลายครอบคลุมถึงหุ้น, พันธบัตร, สินค้าโภคภัณฑ์, ฟอเร็กซ์และสินทรัพย์การเงินอื่น ๆ ในตลาดหรือสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน จะมีความแตกต่างของราคาหรืออัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน, อารมณ์ตลาด, เหตุการณ์ทางการเมืองและปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้สามารถทำการป้องกันความเสี่ยงและเก็งกำไรได้
ตัวอย่างเช่น ในตลาดหุ้นนักลงทุนสามารถดำเนินการ Hedging และ Arbitrage โดยการซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่งพร้อมกับขายสัญญาฟิวเจอร์สที่มีจำนวนเท่ากัน หากราคาหุ้นของบริษัทนั้นเพิ่มขึ้น แต่ราคาฟิวเจอร์สคงที่ นักลงทุนสามารถทำการขายสัญญาฟิวเจอร์สเพื่อล็อกกำไรจากหุ้นและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นได้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ Hedging และ Arbitrageในตลาด Forex นักลงทุนสามารถเปิดสถานะในสกุลเงินสองชนิดที่แตกต่างกันพร้อมกัน เพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น บริษัทข้ามชาติอาจทำการซื้อขายในตลาดสกุลเงินท้องถิ่นและตลาดสกุลเงินต่างประเทศพร้อมกัน เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่มีต่อธุรกิจข้ามชาติของตน
Hedging และ Arbitrage ต้องการให้นักลงทุนมีทักษะในการวิเคราะห์ตลาดและการบริหารความเสี่ยงที่สูง รวมถึงความสามารถในการดำเนินการทำธุรกรรมอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ต้นทุนการทำธุรกรรม สภาพคล่อง และข้อกำหนดด้านการกำกับดูแลอย่างรอบคอบ