ข้อดีของการเทรด CFD คืออะไร

การเทรด CFD คือ การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น ๆ โดยตรง ซึ่งเป็นวิธีการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูงและเปิดโอกาสให้ทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่า ข้อดีของการเทรด CFD คืออะไร และทำไมนักเทรดหลายคนจึงเลือกใช้วิธีนี้ในการลงทุน

ข้อดีของการเทรด CFD

1. มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย

หนึ่งในข้อดีหลักของการเทรด CFD คือ ฃความหลากหลายของสินทรัพย์ที่สามารถเทรดได้ ไม่ว่าจะเป็น ฟอเร็กซ์ (Forex), หุ้น, ดัชนีหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน นักเทรดสามารถเลือกเทรดสินทรัพย์ที่ตนเองสนใจหรือมีความเชี่ยวชาญได้อย่างอิสระ

ความหลากหลายนี้ช่วยตอบโจทย์นักเทรดที่ต้องการกระจายความเสี่ยงหรือต้องการเก็งกำไรในตลาดต่าง ๆ โดยไม่ต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์หลายแห่ง

2. ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง

ข้อดีที่โดดเด่นที่สุดของการเทรด CFD คือ ความสามารถในการทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนแบบดั้งเดิมที่มักทำกำไรได้เฉพาะช่วงขาขึ้นเท่านั้น

การทำกำไรขาขึ้น (Long Position): เมื่อนักเทรดคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น สามารถเปิดสถานะ Long โดยการซื้อสินทรัพย์ที่ราคาต่ำและขายออกที่ราคาสูงกว่า ตัวอย่างเช่น หากซื้อ CFD ของหุ้นที่ราคา 50 บาท และราคาปรับขึ้นเป็น 52 บาท นักเทรดจะได้กำไร 2 บาทต่อหน่วย

การทำกำไรขาลง (Short Position): เมื่อนักเทรดคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์จะลดลง สามารถเปิดสถานะ Short โดยการขายสินทรัพย์ที่ราคาสูงและซื้อคืนที่ราคาต่ำกว่า ตัวอย่างเช่น หากขาย CFD ของหุ้นที่ราคา 50 บาท และราคาปรับลงเป็น 49 บาท นักเทรดจะได้กำไร 1 บาทต่อหน่วย

ความสามารถนี้ทำให้การเทรด CFD เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นและเหมาะกับทุกสภาวะตลาด

3. ใช้ Leverage ได้

การเทรด CFD อนุญาตให้ใช้ Leverage ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร โดย Leverage ช่วยให้นักเทรดสามารถเปิดคำสั่งซื้อขายในมูลค่าที่สูงกว่ายอดเงินในบัญชีจริง

ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์เสนอ Leverage ที่อัตรา 1:10 และนักเทรดมีเงินทุน 1,000 บาท นักเทรดจะสามารถเปิดคำสั่งซื้อขายได้ในมูลค่า 10,000 บาท ซึ่งหมายความว่ากำไรหรือขาดทุนจะถูกคำนวณจากมูลค่า 10,000 บาทนี้ อย่างไรก็ตาม การใช้ Leverage ต้องระมัดระวัง เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนได้เช่นกัน

การใช้ Leverage ในการเทรด CFD คือ การใช้เงินทุนจำนวนน้อยเพื่อควบคุมมูลค่าการซื้อขายที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มากกว่าการลงทุนแบบปกติ

ตัวอย่างการคำนวณ Leverage

สมมติว่าโบรกเกอร์เสนอ Leverage ที่อัตรา 1:10 และคุณมีเงินทุนทั้งหมด 1,000 บาท คุณจะสามารถเปิดคำสั่งซื้อขายได้ในมูลค่าสูงถึง 10,000 บาท (1,000 x 10)

กรณีทำกำไร: หากราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 1% จาก 10,000 บาท เป็น 10,100 บาท คุณจะได้กำไร 100 บาท จากเงินทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท ซึ่งเท่ากับกำไร 10% ของเงินทุน

กรณีขาดทุน: ในทางกลับกัน หากราคาสินทรัพย์ลดลง 1% คุณจะขาดทุน 100 บาท ซึ่งเท่ากับขาดทุน 10% ของเงินทุน

อย่างไรก็ตาม การใช้ Leverage จึงเป็นดาบสองคมที่ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนเช่นกัน ดังนั้น นักเทรดควรใช้ Leverage อย่างระมัดระวังและมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี

ความแตกต่างระหว่าง CFD และ Forex

หลายคนอาจสงสัยว่าการเทรด CFD และ Forex แตกต่างกันอย่างไร แม้ทั้งสองวิธีจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ ดังนี้ 

1. สินทรัพย์ที่ครอบคลุม

การเทรด CFD: ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น

-ฟอเร็กซ์ (Forex): คู่สกุลเงินต่างประเทศ

-หุ้น: หุ้นบริษัทชั้นนำทั่วโลก

-ดัชนี: ดัชนีหุ้น เช่น S&P 500, NASDAQ

-สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ

-การเทรด Forex: เน้นเฉพาะการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ เช่น USD/EUR, GBP/JPY

2. ขอบเขตการเทรด

CFD: เป็นตลาดที่กว้างกว่า เนื่องจากครอบคลุมสินทรัพย์หลายประเภท ส่วน Forex เป็นส่วนหนึ่งของการเทรด CFD หรืออาจเรียกว่า Forex เป็น Subset ของ CFD

3. ความซับซ้อน

CFD เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการกระจายความเสี่ยงหรือเทรดสินทรัพย์หลายประเภท ในขณะที่ Forex เหมาะสำหรับนักเทรดที่สนใจเฉพาะตลาดสกุลเงิน

4. การเลือกเครื่องมือการซื้อขาย

CFD: ช่วยให้คุณซื้อขายสินทรัพย์ที่หลากหลาย รวมถึงตลาดฟอเร็กซ์ ส่วน Forex คุณสามารถซื้อขายเฉพาะคู่สกุลเงินเท่านั้น

โบรกเกอร์ Forex ส่วนใหญ่จะให้คุณเข้าถึงคู่สกุลเงินหลักและสกุลเงินรองอื่น ๆ คู่สกุลเงินหลักอาทิ

-GBP/USD (ปอนด์สเตอร์ลิง/ดอลลาร์สหรัฐ)

-AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐ)

-EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ)

-USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น)

-USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐ/ฟรังก์สวิส)

-USD/CAD (ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์แคนาดา)

-USD/HKD (ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ฮ่องกง)

การเทรด CFD ช่วยให้คุณขยายขอบเขตการตลาดเพื่อรวมถึงตัวเลือกที่หลากหลาย เช่น คู่สกุลเงินหลายคู่และตลาดอื่น ๆ บางส่วนของตลาดที่คุณสามารถเข้าถึงด้วย CFD ได้แก่

-สินค้าโภคภัณฑ์

-ตลาดฟอเร็กซ์

-หุ้น / หุ้นสามัญ

-ดัชนี

-กองทุนที่เทียบเท่ากับตลาด (ETFs)

-ตราสารหนี้

5. ค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย

ทั้ง CFD และการซื้อขายฟอเร็กซ์ต้องเสียค่า Spread อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม นักเทรด CFD อาจเผชิญค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในบางครั้ง ปัจจัยเช่นสภาวะตลาดและโบรกเกอร์ของคุณสามารถมีผลต่อค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย

ตัวอย่างเช่น ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมที่พบบ่อยในการซื้อขาย CFD คือค่าธรรมเนียมการถือครอง โบรกเกอร์ของคุณจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการถือครองสำหรับสัญญาใดๆ ที่คุณเลือกจะถือครองในระยะเวลาตลอดคืน

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่พบบ่อยอื่น ๆ คือค่าคอมมิชชั่นจากค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย CFD หุ้น

6. แรงกดดันตลาด

ปัจจัยเศรษฐกิจและเหตุการณ์การซื้อขายระหว่างประเทศสามารถมีผลต่อตลาดฟอเร็กซ์ บางส่วนของปัจจัยเหล่านี้อาจรวมถึงเหตุการณ์ทางภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงในตลาดงานในภูมิภาค และการเปลี่ยนแปลงนโยบายเงิน

ตลาด CFD มีผลที่มากที่สุดจากแรงดันและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหรือแนวโน้มของธุรกิจในกลุ่มธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง เช่น ความต้องการที่สูงในแหล่งพลังงานทดแทนในปีหลัง ในปีหลายปีที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงระดับโลกในการใช้พลังงานทดแทนเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องการลดการพึ่งพากับเชื้อเพลิงที่ใช้น้อยลง

7. ขนาดของสัญญาการซื้อขาย

ในการซื้อขายฟอเร็กซ์ ขนาดสัญญามาตรฐานสำหรับคู่สกุลเงินทั้งหมดคือ 100,000 หน่วย อย่างไรก็ตามโบรกเกอร์สามารถให้คุณใช้การเลเวอเรจและซื้อขายสัญญาขนาดเล็กกว่าได้ เช่น ฟอร์เล็กซ์มินิ (10,000 หน่วย) และฟอร์เล็กซ์มาโคร (1,000 หน่วย) และฟอร์เล็กซ์นาโน (100 หน่วย)

ขนาดของสัญญา CFD ขึ้นอยู่กับตลาด ตัวอย่างเช่น ในขณะที่หุ้นจะมีขนาดสัญญาเท่ากับหุ้นต่อสัญญา โลหะขายในหน่วยมาตรฐานของ 100 ออนซ์ ดังนั้นหนึ่งสัญญา CFD จะแทน 100 ออนซ์ของโลหะที่กำหนด เช่น เงิน

8. ชั่วโมงการซื้อขาย

ระยะเวลาการซื้อขาย CFD และตลาดฟอเร็กซ์แตกต่างกัน เช่น คุณสามารถซื้อขายตลาดฟอเร็กซ์ได้ 24 ชั่วโมงต่อวัน แต่เฉพาะในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลาการซื้อขายนี้ช่วยให้คุณตัดสินใจการซื้อขายได้อย่างยืดหยุ่นในชั่วโมงต่างๆ ของวัน โดยไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในโลก

นอกจากนี้ คุณยังสามารถซื้อขาย CFD อื่น ๆ ในช่วงเวลาสุดสัปดาห์ด้วย อย่างไรก็ตามบางตลาดจะมีเวลาการซื้อขายที่สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาที่กำหนด

สรุปได้ว่า ข้อดีของการเทรด CFD คือ วิธีการลงทุนที่ยืดหยุ่นและมีข้อดีหลายประการที่ดึงดูดนักเทรดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของสินทรัพย์ที่สามารถเทรดได้ ทั้งฟอเร็กซ์ หุ้น ดัชนี และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถกระจายความเสี่ยงและเลือกเทรดในตลาดที่ตนเองเชี่ยวชาญได้

นอกจากนี้ การเทรด CFD ยังเปิดโอกาสให้ทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง ผ่านการเปิดสถานะ Long หรือ Short ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนแบบดั้งเดิมที่มักทำกำไรได้เฉพาะช่วงขาขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การใช้ Leverage ในการเทรด CFD คือดาบสองคมที่ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้น นักเทรดควรมีการจัดการความเสี่ยงที่ดีเพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

หากคุณกำลังมองหาวิธีการลงทุนที่ยืดหยุ่นและมีโอกาสทำกำไรในทุกสภาวะตลาด การเทรด CFD คือ ทางเลือกที่น่าสนใจที่คุณไม่ควรพลาด

คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ