ในตลาดหุ้น การทำความเข้าใจและการประยุกต์ใช้ RSI (Relative Strength Index) วิเคราะห์ความเบี่ยงเบนด้านล่างเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก
การทำความเข้าใจและการประยุกต์ใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคถือเป็นแง่มุมที่สำคัญอย่างยิ่งในการลงทุนในตลาดหุ้นหนึ่งในนั้นคือ RSI (Relative Strength Index) วิเคราะห์ความเบี่ยงเบนด้านล่างซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยแต่กลับถูกเข้าใจผิดได้ง่าย บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดถึงวิธีการทำความเข้าใจ RSI วิเคราะห์ความเบี่ยงเบนด้านล่างอย่างถูกต้อง และวิธีนำความรู้นี้ไปใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด
ทำความเข้าใจ RSI และการวิเคราะห์ความเบี่ยงเบนด้านล่าง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของ RSI ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของราคาหุ้น หาก RSI มีค่ามาก แสดงถึงพลังของผู้ซื้อที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ค่าน้อยแสดงถึงพลังของผู้ขายที่แข็งแกร่ง โดยทั่วไปแล้ว เมื่อค่า RSI ต่ำกว่า 40 และเกิดความเบี่ยงเบนด้านล่างระหว่าง RSI กับราคาหุ้นมักเป็นสัญญาณสำหรับการซื้อ
อย่างไรก็ตาม คำถามที่เกิดขึ้นคือเมื่อพบว่าหุ้นมีความเบี่ยงเบนด้านล่างใน RSI ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สถาบันการเงินจะเริ่มปรับขึ้นราคาหุ้น หรือเป็นสัญญาณว่าสถาบันการเงินพร้อมที่จะเริ่มขายหุ้นออก ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา
การพิจารณาลักษณะของความเบี่ยงเบนด้านล่างใน RSI
เพื่อพิจารณาลักษณะของความเบี่ยงเบนด้านล่างใน RSI อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ จุดสูงสุดของความเบี่ยงเบนด้านล่างและเจตนาของสถาบันการลงทุน
ความเบี่ยงเบนด้านล่างมักปรากฏในรูปแบบของจุดสูงสุดระหว่างจุดต่ำ 2 จุด ซึ่งจุดสูงสุดนี้ถือเป็นระดับแนวต้านที่สำคัญของราคาหุ้น หากราคาหุ้นสามารถทะลุผ่านจุดสูงสุดนี้ได้ แสดงว่าอาจเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่แท้จริง แต่หากจุดสูงสุดไม่ถูกทะลุผ่าน อาจเป็นเพียงการดีดตัวกลับชั่วคราว ไม่ใช่การเพิ่มขึ้น
เจตนาของสถาบันการเงินก็มีความสำคัญไม่น้อย หากสถาบันต้องการผลักดันราคาหุ้นขึ้น พวกเขาอาจปรากฏในช่วงของ Bottom Divergence ซึ่งมักจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาในภายหลัง แต่หากสถาบันต้องการขายหุ้น พวกเขาอาจเลือกที่จะขายหลังจากที่เกิดความเบี่ยงเบนด้านล่าง ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นลดลงในภายหลัง
วิธีการใช้ความเบี่ยงเบนด้านล่างใน RSI
ตอนนี้เรามาดูวิธีการใช้ความเบี่ยงเบนด้านล่างใน RSI เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจลงทุนกัน
ลักษณะการตัดสินใจ : อันดับแรกเมื่อ RSI เกิดความเบี่ยงเบนด้านล่าง ควรวิเคราะห์ว่าจุดสูงสุดนั้นถูกทำลายหรือไม่ หากราคาหุ้นสามารถทำลายจุดสูงสุดได้ ก็สามารถพิจารณาซื้อได้ แต่หากจุดสูงสุดไม่ถูกทำลายควรระมัดระวังไว้ เพราะอาจเป็นแค่การตีกลับไม่ใช่การขึ้นจริง
การตามขึ้น : หากยืนยันได้ว่าการเบี่ยงเบนจากฐานของ RSI เป็นสถานการณ์ที่สถาบันต้องการผลักดันราคาหุ้นขึ้น การตามขึ้นอาจเป็นทางเลือกที่ดี โดยการรอให้ราคาหุ้นทำลายจุดสูงสุดของความเบี่ยงเบนด้านล่างและเพิ่มตำแหน่งในเวลาที่เหมาะสมมักจะทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การหลบหนีจากด้านบน : หากยืนยันได้ว่าความเบี่ยงเบนด้านล่างของ RSI เป็นสถานการณ์ที่องค์กรกำลังเตรียมการขาย ควรพิจารณาหลบหนีจากจุดสูงสุด เมื่อราคาหุ้นไม่สามารถทำลายจุดสูงสุดที่ความเบี่ยงเบนด้านล่างได้ จำเป็นต้องเคลียร์ตำแหน่งอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนที่อาจเกิดจากการปรับตัวลดลงในภายหลัง
ตัวอย่าง
เพื่อให้เข้าใจวิธีการใช้ความเบี่ยงเบนด้านล่างของ RSI ได้ดียิ่งขึ้นเรามาดูตัวอย่างของ 2 กรณีนี้กัน
ตัวอย่างที่ 1 : Tesla ปรับตัวขึ้นหลังจากการเบี่ยงเบนด้านล่างของ RSI แต่ไม่สามารถทำลายจุดสูงสุดได้ และหลังจากนั้นราคาหุ้นก็ลดลง การหลบหนีจากจุดสูงสุดในกรณีนี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
ตัวอย่างที่ 2 : หุ้นตัวหนึ่งปรับตัวขึ้นหลังจากการเบี่ยงเบนด้านล่างของ RSI และสามารถทำลายจุดสูงสุดได้สำเร็จ ทำให้เหมาะสมสำหรับการติดตามการขึ้นของราคาหุ้น
การเข้าใจและประยุกต์ใช้การเบี่ยงเบนด้านล่างของ RSI อย่างถูกต้อง จะช่วยให้สามารถนำทางการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นได้ดีขึ้น แต่โปรดจำไว้ว่าการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง และไม่ว่าจะใช้ตัวบ่งชี้ใด ๆ ควรระมัดระวังและบริหารความเสี่ยงให้ดีเสมอ
ข้อสงวนสิทธิ์: เนื้อหานี้มีไว้สำหรับข้อมูลทั่วไปเท่านั้นและไม่ใช่ (และไม่ควรถือว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงินการลงทุนหรืออื่น ๆ ที่ควรพึ่งพา ความคิดเห็นใด ๆ ที่ให้ไว้ในเนื้อหาไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่าการลงทุนหลักทรัพย์การซื้อขายหรือกลยุทธ์การลงทุนใด ๆ ที่เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง