จุด Stop Loss ถือเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยง โดยทำหน้าที่ช่วยป้องกันการขาดทุนในระดับที่สูงจนถึงขั้นล้างพอร์ตลงทุนในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับการคาดการณ์ของนักลงทุน
การเทรดค่าเงิน (Forex)เต็มไปด้วยโอกาสในการสร้างผลกำไรอย่างมหาศาล เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้นักลงทุนสามารถหาจังหวะทำกำไรในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดนี้ยังมีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน จึงไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีการวางแผนการลงทุนที่ดี และเทรดไปตามอารมณ์โดยไม่ตั้งจุด Stop Loss จุด Stop Loss เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารความเสี่ยง และนักลงทุนทุกคนควรให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือนี้ เนื่องจากช่วยป้องกันการขาดทุนในระดับที่สูง จนถึงขั้นล้างพอร์ตหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับการคาดการณ์ การตั้งจุด Stop Loss และการปฏิบัติตามอย่างมีวินัยยังสามารถช่วยลดความเครียดได้ อีกทั้งทำให้นักลงทุนมีโอกาสย้อนกลับไปวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความหมายของจุด Stop Loss และเหตุผลที่ควรกำหนดจุด Stop Loss
Stop Loss คือ จุดหรือคำสั่งที่นักลงทุนตั้งไว้ในระบบการเทรดเพื่อปิดการซื้อขายโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาสินทรัพย์ถึงระดับที่กำหนดไว้ หรือกำหนดเองเป็นจุดขาดทุนสะสม โดยเมื่อถึงระดับดังกล่าว นักลงทุนจะต้องหยุดการเทรดในทันที จุดประสงค์หลักของการใช้ Stop Loss คือการจำกัดการขาดทุนในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ซึ่งช่วยปกป้องเงินทุนของนักลงทุนและรักษาความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
ประโยชน์ของการใช้Stop Loss
จำกัดการขาดทุน จุด Stop Loss ช่วยให้นักลงทุนสามารถจำกัดการขาดทุนได้ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับแนวทางการลงทุน ซึ่งทำให้สามารถรักษาเงินทุนและลดความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลดความเครียด นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเฝ้าติดตามตลาดตลอดเวลา หากมีการกำหนดจุด Stop Loss ไว้ จะช่วยลดความกังวลและความเครียดในการตัดสินใจเมื่อราคาสินทรัพย์เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป
สร้างวินัยการเทรด ทำให้เราปฏิบัติตามแผนการเทรดที่วางไว้อย่างแน่วแน่ลดการเปลี่ยนแปลงแผนการลงทุนโดยไม่จำเป็น
ป้องกันการขาดทุนที่ไม่จำเป็น ช่วยป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้นทำให้สามารถรักษาผลกำไรในระยะยาวได้
เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการพอร์ตการลงทุน ช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยสามารถควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาวได้
วิธีการตั้งจุดStop Loss
การตั้งจุด Stop Loss ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ขนาดของเงินทุน และแนวโน้มของตลาด โดยทั่วไปแล้วมีวิธีการตั้งจุด Stop Loss ที่นิยมใช้ 5 วิธี ดังนี้
Fixed Stop Loss การตั้งจุด Stop Loss ที่ระดับการขาดทุนคงที่ เช่น การตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 5-10% ของเงินลงทุน
Trailing Stop Loss การตั้งจุด Stop Loss ที่เคลื่อนที่ตามการเคลื่อนไหวของราคา เช่น การตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 10% ของราคาสูงสุดที่เคยถึงในช่วงเวลาที่ผ่านมา
Percentage Stop Loss การตั้งจุด Stop Loss ตามเปอร์เซ็นต์ของเงินทุน เช่น การตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 2% ของเงินทุนคงเหลือที่มีในพอร์ต
Volatility Stop Loss การตั้งจุด Stop Loss ตามความผันผวนของตลาด เช่น การใช้ค่าเฉลี่ยความผันผวนในการกำหนดระดับการขาดทุนที่ยอมรับได้
Support and Resistance Stop Loss การตั้งจุด Stop Loss ที่ระดับแนวรับและแนวต้าน เช่น การตั้งจุด Stop Loss ใต้แนวรับหรือเหนือแนวต้าน
5 แนวทางตั้งจุด Stop Loss ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและเงินลงทุนของแต่ละบุคคล
การตั้งจุด Stop Loss ควรคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่ความเสี่ยงที่ยอมรับได้จนถึงจำนวนเงินลงทุน โดยนี่คือ 5 แนวทางที่นักลงทุนสามารถใช้ในการตั้งจุด Stop Loss ให้เหมาะสมกับสไตล์ตนเอง
1.กำหนดระดับการขาดทุนที่ยอมรับได้
การตั้ง Stop Loss ควรพิจารณาจากระดับการขาดทุนที่คุณยอมรับได้ตามขนาดของเงินทุน เช่น หากคุณมีเงินลงทุน 100,000 บาท และยอมรับการขาดทุนได้ 5% คุณควรตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ระดับการขาดทุน 5,000 บาท วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงและป้องกันการขาดทุนที่อาจกระทบต่อเงินทุนทั้งหมดของคุณ โดยยังคงเหลือเงินทุนเพื่อมีโอกาสทำกำไรในอนาคต
2.ใช้ความผันผวนของตลาดเป็นเกณฑ์
ในบางสถานการณ์การตั้ง Stop Loss ควรพิจารณาความผันผวนของตลาดร่วมด้วย หากตลาดมีความผันผวนสูง ควรตั้งจุด Stop Loss ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันการหยุดการขาดทุนจากความผันผวนระยะสั้น เช่น ถ้าคุณเทรดในตลาดที่มีความผันผวนสูง เช่น ตลาดคริปโต คุณควรตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ระดับการขาดทุนที่สูงขึ้นกว่าปกติเช่นจากที่ตั้งไว้ 2% อาจจะขยับเป็น 5-10% เป็นต้น
3.วิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน
การวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านช่วยให้นักลงทุนสามารถตั้งจุด Stop Loss ได้อย่างมีเหตุผล โดยตั้งจุด Stop Loss ที่แนวรับหรือเหนือแนวต้าน เพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น ทุกครั้งที่ราคาขึ้นหรือลงมาแตะที่แนวรับหรือแนวต้านให้ทำการขายออกทันที
4.ใช้เครื่องมือทางเทคนิค
การใช้เครื่องมือทางเทคนิคเช่นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) หรือดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (Relative Strength Index: RSI) จะช่วยในการตั้งจุด Stop Loss ที่เหมาะสมและแม่นยำมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันในการเทรด คุณสามารถตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ระดับต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อป้องกันการขาดทุนได้เป็นต้น
5.ปรับเปลี่ยนStop Lossตามการเคลื่อนไหวของตลาด
นักลงทุนควรพิจารณาปรับเปลี่ยนจุด Stop Loss ตามการเคลื่อนไหวของตลาด เช่น การยกจุด Stop Loss ขึ้นเมื่อราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้น การทำแบบนี้คือการ "Let Profits Run" หรือปล่อยให้ไหลทำกำไรสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณยอมรับการขาดทุนได้ที่5% และราคาสินทรัพย์ที่คุณเข้าเทรดกำลังไต่ระดับขึ้นไปที่ 150 บาทจากจุดซื้อ 100 บาทหากวิเคราะห์แล้วพบว่าเป็นช่วงขาขึ้นน่าจะยังขึ้นต่อไปได้อีก คุณสามารถยกจุด Stop Loss ขึ้นมาเป็น 142.50 บาทเพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรที่สูงขึ้นได้
การตั้งจุด Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยป้องกันการขาดทุนอย่างรุนแรงในการเทรดค่าเงิน นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการตั้งจุด Stop Loss และต้องทำตามแผนนี้อย่างมีวินัย หากยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรสามารถนำแนวทางทั้ง 5 นี้ไปปรับใช้กับการเทรดของคุณได้ นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่าการเทรดที่สามารถสร้างกำไรได้มักเป็นการเทรดโที่ตัดสินใจโดยไม่ใช้อารมณ์