เปิดลิสต์ 5 ดัชนีหุ้นทั่วโลกน่าสนใจ พร้อมเจาะลึกตลาดเกิดใหม่ที่ต้องจับตามอง

ดัชนีหุ้นทั่วโลกคือ ตัวชี้วัดที่สะท้อนภาพรวมราคาหุ้นจากหลากหลายประเทศ ช่วยบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทิศทางตลาดทุนในแต่ละภูมิภาค ที่จะถูกใช้ในการวิเคราะห์ผลตอบแทนและวัดความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลก บทความนี้จะพาไปรู้จักว่าดัชนีหุ้นทั่วโลกน่าสนใจมีอะไรบ้าง และดัชนีตลาดเกิดใหม่ใดที่ต้องจับตามอง

ดัชนีหุ้นตัวชี้เส้นทางเศรษฐกิจโลก

ดัชนีหุ้นทั่วโลก (Global Stock Index) คือ ตัวชี้วัดภาพรวมราคาหุ้นจากหลายประเทศทั่วโลก โดยการรวบรวมราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่จากตลาดหลักทรัพย์ในประเทศต่าง ๆ มาคำนวณเป็นค่าดัชนีเดียว เพื่อสะท้อนทิศทางและแนวโน้มของตลาดทุนโลก ดัชนีเหล่านี้มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เศรษฐกิจโลก ประเมินความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเปรียบเทียบผลตอบแทนของการลงทุนในระดับสากล

ดัชนีหุ้นทั่วโลกที่นิยมใช้งาน เช่น

• MSCI World Index: รวมบริษัทขนาดกลางและใหญ่จากกว่า 20 ประเทศพัฒนาแล้ว

• FTSE All-World Index: รวมทั้งตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก

• S&P Global 100: รวม 100 บริษัทชั้นนำของโลกที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูง

อย่างไรก็ดี ดัชนีเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อซื้อขายโดยตรง แต่สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม (Mutual Fund) หรือ ETF (Exchange Traded Fund) ที่อิงกับดัชนีนั้นได้ ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในระดับโลก และติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำรวจดัชนีหุ้นใหญ่ระดับโลกที่นักลงทุนต้องรู้จัก

การติดตามดัชนีหุ้นสำคัญในแต่ละภูมิภาค ช่วยให้นักลงทุนและผู้ที่สนใจภาพรวมเศรษฐกิจโลกเข้าใจแนวโน้มและความเคลื่อนไหวของตลาดทุนได้ดีขึ้น ดัชนีเหล่านี้สะท้อนทั้งความแข็งแกร่งของบริษัทใหญ่ ทิศทางอุตสาหกรรมหลัก และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในแต่ละประเทศหรือภูมิภาค ดังนี้

1. ประเทศสหรัฐอเมริกา

สหรัฐฯ เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาด GDP สูงสุดและตลาดทุนที่มีความลึกและสภาพคล่องสูงมาก การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับแรงหนุนจากภาคเทคโนโลยี บริการ การเงิน และการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง แม้จะมีความท้าทายด้านนโยบายการเงินและการเมือง สหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและธุรกิจข้ามชาติที่สำคัญ ส่งผลให้ตลาดหุ้นอเมริกายังคงเป็นจุดหมายหลักของนักลงทุนทั่วโลก

• S&P 500 : ดัชนีนี้รวม 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นหลัก เป็นตัวแทนภาพรวมเศรษฐกิจอเมริกาผ่านหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เทคโนโลยี การเงิน ไปจนถึงสุขภาพ ถือเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำคัญของตลาดหุ้นโลกและถูกใช้เป็น Benchmark ของกองทุนมากมาย

• Dow Jones Industrial Average (DJIA) : รวมหุ้น 30 บริษัทชั้นนำที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จำนวนจะน้อยกว่าดัชนีอื่น แต่ DJIA เป็นดัชนีที่เก่าแก่และมีน้ำหนักต่อจิตวิทยาตลาดอย่างมาก บริษัทในดัชนีนี้ล้วนเป็นผู้นำอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พลังงาน ยานยนต์ และการเงิน

• NASDAQ Composite : เน้นกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เติบโตเร็ว เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Google ดัชนีนี้จึงสะท้อนความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีระดับโลกและความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจยุคใหม่ มีความผันผวนสูงแต่โอกาสเติบโตมหาศาล

2. ทวีปยุโรป

ภูมิภาคยุโรปประกอบด้วยหลายประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายสูง เช่น ประเทศเยอรมนีเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจยุโรป ด้วยฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและส่งออกสินค้าคุณภาพสูง ประเทศฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรเน้นภาคบริการและการเงิน ตลาดยุโรปต้องเผชิญความท้าทายจากนโยบายการเงินร่วมของกลุ่มยูโรโซน รวมถึงปัญหาทางการเมืองและการปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ แต่ยังคงเป็นตลาดสำคัญระดับโลกที่มีการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศที่เข้มแข็ง

• FTSE 100 (UK) : เป็นดัชนีที่รวมบริษัทใหญ่ 100 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน โดยบริษัทส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน น้ำมันและแก๊ส รวมถึงธุรกิจการค้าปลีก เนื่องจากสหราชอาณาจักรมีบทบาททางการเงินระดับโลก ดัชนีนี้จึงสะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในยุโรป

  
  

• DAX (Germany) : ดัชนีหุ้นหลักของเยอรมนี ประกอบด้วย 40 บริษัทขนาดใหญ่และมีอิทธิพลในเศรษฐกิจยุโรป เช่น Siemens, Volkswagen และ Bayer DAX จึงเป็นตัวแทนที่ดีของตลาดยุโรปแผ่นดินใหญ่ และสะท้อนภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งของเยอรมนี

  
  

• Euro Stoxx 50 : รวบรวม 50 บริษัทชั้นนำจากกลุ่มประเทศยูโรโซน รวมถึงประเทศอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี ดัชนีนี้ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปตะวันตก และเป็นตัวชี้วัดความแข็งแรงของตลาดหุ้นในกลุ่มสกุลเงินยูโร

3. ประเทศจีน

จีนเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกของโลก มีบทบาทเพิ่มขึ้นในด้านเทคโนโลยีและบริการ ตลาดหุ้นจีนสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของนโยบายรัฐบาลและแรงกดดันทางการเมือง เช่น การควบคุมภาคเอกชนและความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

• Shanghai Composite : ดัชนีที่รวมหุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ เป็นตัวชี้วัดภาพรวมตลาดหุ้นจีนในประเทศ ความผันผวนสูงและมีบทบาทต่อทิศทางเศรษฐกิจจีนที่กำลังเติบโตรวดเร็ว

  
  

• CSI 300 : รวมหุ้น 300 บริษัทขนาดใหญ่จากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น ดัชนีนี้ถูกใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศที่ต้องการลงทุนในจีน เป็นตัวแทนเศรษฐกิจจีนที่เข้มแข็งและเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

4. ประเทศญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง การผลิตยานยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แม้จะเผชิญกับปัญหาประชากรลดลงและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงในช่วงหลัง ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่มีตลาดทุนใหญ่และมีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชีย ความมั่นคงทางการเงินและการส่งออกสินค้าคุณภาพสูงทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจโลก

• Nikkei 225 : ดัชนีที่รวมหุ้นใหญ่ 225 ตัวในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว เช่น Toyota, Sony และ SoftBank Nikkei เป็นตัวแทนเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่แข็งแกร่งและมีอิทธิพลสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออก

  
  

• TOPIX (Tokyo Stock Price Index) : ครอบคลุมหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (กลุ่ม First Section) จึงสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ครบถ้วนและลึกซึ้งกว่า Nikkei โดยนิยมใช้เป็นตัวชี้วัดหลักสำหรับนักลงทุนในและต่างประเทศ

5. ประเทศไทย

ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจขนาดกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจุดแข็งในด้านการส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต อิเล็กทรอนิกส์ และการท่องเที่ยว ตลาดหุ้นไทยสะท้อนความผันผวนจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น การเมืองและนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก เนื่องจากไทยมีการพึ่งพาการส่งออกค่อนข้างสูง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยจึงผูกโยงกับทั้งเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศ

• SET Index : ดัชนีหลักของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวบรวมหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายและสภาพคล่องสูง สะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยผ่านกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ทั้งในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมเบา ดัชนีนี้เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่ต้องการเข้าใจทิศทางเศรษฐกิจไทย

จับตาดัชนีตลาดเกิดใหม่ ตัวชี้โอกาสเติบโต?

ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เป็นกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีบทบาทเพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก ดัชนีหุ้นจากประเทศเหล่านี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนใช้ในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงในตลาดที่ยังมีศักยภาพสูง บ่อยครั้งที่ตลาดเหล่านี้ให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่ก็มาพร้อมความผันผวนมากกว่าเช่นกัน

MSCI Emerging Markets Index

ดัชนี MSCI Emerging Markets เป็นดัชนีหลักที่ใช้วัดผลการดำเนินงานของตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก ครอบคลุมกว่า 20 ประเทศ รวมทั้งจีน อินเดีย บราซิล เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย เป็นดัชนี Benchmark สำคัญที่นักลงทุนสถาบันใช้ในการจัดพอร์ตลงทุนทั่วโลก ดัชนีนี้รวมบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางมากกว่า 1,300 แห่งในตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง

BOVESPA (บราซิล)

ตลาดหุ้นบราซิลถือเป็นตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา ดัชนี BOVESPA สะท้อนการเคลื่อนไหวของบริษัทในกลุ่มพลังงาน เหมืองแร่ ธนาคาร และเกษตรกรรม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ความเคลื่อนไหวของดัชนีนี้มีความสัมพันธ์กับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) อย่างมาก เช่น น้ำมัน ถั่วเหลือง และแร่เหล็ก

Nifty 50 (อินเดีย)

อินเดียเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่และเติบโตเร็วในระดับโลก ดัชนี Nifty 50 ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 50 บริษัทในประเทศ ครอบคลุมภาคเทคโนโลยี ธนาคาร พลังงาน และ FMCG (สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน) อินเดียยังได้เปรียบในด้านประชากรวัยทำงานขนาดใหญ่ และระบบเศรษฐกิจที่เน้นเทคโนโลยี ทำให้ตลาดหุ้นมีศักยภาพเติบโตระยะยาว

HNX Index (เวียดนาม)

เวียดนามเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย และเริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ โดย HNX Index จะตัวชี้วัดราคาหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนใน Hanoi Stock Exchange (HNX) ซึ่งมักเป็นบริษัทที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์เข้าจดทะเบียนใน HOSE หรืออยู่ในช่วงเริ่มต้นของการระดมทุน ตลาดนี้จึงถูกมองว่าเป็นแหล่งรวบรวม “หุ้นเติบโตสูง” ที่อาจให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ดัชนีหุ้นกับราคาหุ้นต่างกันอย่างไร?

A: ดัชนีหุ้นคือค่ารวมที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มเดียวกัน ส่วนราคาหุ้นคือราคาของบริษัทเดียว ดัชนีจึงใช้ดูภาพรวม ในขณะที่ราคาหุ้นดูรายตัว

Q: ดัชนีหุ้นโลกสามารถซื้อขายได้โดยตรงหรือไม่?

A: ไม่สามารถซื้อขายได้โดยตรง แต่สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมหรือ ETF ที่อิงตามดัชนีนั้น เช่น ETF ที่อิง MSCI World Index

Q: ทำไมต้องติดตามดัชนีของตลาดเกิดใหม่?

A: เพราะตลาดเกิดใหม่มักมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง แม้จะมีความเสี่ยงมากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว แต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว

สรุป

ดัชนีหุ้นทั่วโลกมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนทิศทางของตลาดการเงินในระดับประเทศและโลก โดยสามารถแบ่งออกเป็นดัชนีของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น S&P 500, Nikkei 225, DAX รวมถึงดัชนีโลกอย่าง MSCI World หรือ FTSE All-World ซึ่งรวบรวมภาพรวมของตลาดในหลายประเทศเข้าด้วยกัน

ในตลาดเกิดใหม่ ดัชนีอย่าง MSCI Emerging Markets Index หรือ FTSE ASEAN Index กลายเป็นตัวชี้วัดที่น่าจับตามอง เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว แต่ก็มีความผันผวนสูงตามไปด้วย

อย่างไรก็ดี หากคุณสนใจลงทุนในดัชนีหุ้นทั่วโลกนั้น ที่ EBC Financial Group เรามีผลิตภัณฑ์เทรดในดัชนีหุ้นที่หลากหลาย ตั้งแต่ &P 500, Dow Jones, NASDAQ-100, Hong Kong Hang Sheng และ China A50 ที่มาพร้อมกับค่าสเปรดสุดต่ำ โดยท่านผูอ่านสามารถศึกษาและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ลิงก์นี้ 

ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ