FOMO คือ ภาวะจิตวิทยาที่ทำนักเทรดขาดทุนไม่รู้ตัว! รู้จักอาการ พร้อมวิธีรับมือ และตัวอย่าง FOMO ในตลาดการเงิน
ในยุคที่ข้อมูลหลั่งไหลตลอด 24 ชั่วโมง และโซเชียลมีเดียเปรียบเสมือนสนามแข่งชีวิต การรู้สึกว่าตัวเอง "ตกขบวน" หรือ "พลาดอะไรบางอย่าง" กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับคนส่วนใหญ่ อาการแบบนี้มีชื่อเรียกในทางจิตวิทยาว่า FOMO คืออะไร หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out หรือ "ความกลัวที่จะพลาดสิ่งสำคัญ" ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการลงทุน ข่าวสาร เทรนด์ฮิต หรือกิจกรรมที่คนอื่นกำลังพูดถึงบนโลกออนไลน์ FOMO กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ โดยเฉพาะในแวดวงการเทรดและการลงทุน ที่อารมณ์แบบนี้อาจนำไปสู่การขาดทุนได้อย่างไม่รู้ตัว
ในอีกด้านหนึ่ง คำตรงกันข้ามของ FOMO ก็คือ JOMO หรือ Joy of Missing Out ที่หมายถึงความสุขจากการไม่ต้องตามกระแสหรือไม่สนใจว่าคนอื่นกำลังทำอะไรบนโซเชียล คนที่มี JOMO มักมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น มีสมาธิกับเป้าหมายส่วนตัว และไม่ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาควบคุมการตัดสินใจในชีวิต
ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า FOMO คืออะไร ในบริบทของการเทรดและการลงทุน ว่าทำไมนักเทรดจำนวนไม่น้อยจึงตกอยู่ในกับดักของความรู้สึก “กลัวพลาดโอกาส” และอารมณ์นี้มีผลกระทบต่อการตัดสินใจอย่างไร พร้อมทั้งแนะนำวิธีป้องกันและรับมือกับ FOMO เพื่อช่วยให้คุณเทรดอย่างมีสติและมีแผนมากยิ่งขึ้น
FOMO คืออะไร? ในแง่จิตวิทยาและพฤติกรรมมนุษย์
จากมุมมองทางจิตวิทยา, FOMO หรือ “Fear of Missing Out” คือการตอบสนองทางอารมณ์ที่เกิดจากความกลัวที่จะพลาดโอกาสที่น่าตื่นเต้นหรือเป็นประโยชน์ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เข้าร่วมในกิจกรรมหรือกระแสที่สำคัญ เช่น การลงทุนที่ทำกำไรได้ดี หรือการเข้าร่วมในโอกาสทางสังคมที่กำลังได้รับความนิยม การรู้สึกว่า "ตกกระแส" หรือไม่ได้รับข้อมูลสำคัญ ก็สามารถทำให้เกิด FOMO ขึ้นได้ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์
ตัวอย่างที่พบได้ง่ายคือ การเปิดตัวของเกม Pokémon GO ที่ทำให้ผู้คนทุกวัยออกจากบ้านไปตามจับโปเกม่อนบนท้องถนน ผู้ที่ไม่เล่นเกมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเอง “ตกกระแส” จนตัดสินใจดาวน์โหลดเกมมาเล่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยสนใจเกมนี้มาก่อน ซึ่งกระแสความนิยมในสังคมทำให้คนจำนวนมากต้องการเข้าร่วม แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยสนใจเกมประเภทนี้มาก่อน ทั้งสองกรณีนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่ FOMO สามารถกระตุ้นให้คนตัดสินใจทำสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดจะทำมาก่อน เพื่อไม่ให้รู้สึกพลาดอะไรไปจากความนิยมที่เกิดขึ้น
FOMO กับการลงทุน: ต้นเหตุของการขาดทุนที่คุณอาจไม่รู้ตัว
ในโลกของการเทรดและการลงทุน, FOMO (Fear Of Missing Out) หรือ "ความกลัวที่จะพลาด" เป็นอารมณ์ที่มีอิทธิพลอย่างมากในการตัดสินใจลงทุนของนักเทรด ซึ่งสามารถทำให้เกิดการตัดสินใจที่เร่งรีบและไม่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ โดยทั่วไปแล้ว FOMO จะกระตุ้นให้เทรดเดอร์ลงมือทำอะไรบางอย่างโดยไม่คำนึงถึงการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง อารมณ์นี้มักเกิดขึ้นจากความกลัวที่จะพลาดโอกาสหรือเหตุการณ์สำคัญในตลาด ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมที่เสี่ยงและทำให้ขาดทุนได้ง่าย
FOMO กับการเทรด Forex
ในตลาด Forex, FOMO มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจของเทรดเดอร์ เนื่องจากความกลัวที่จะพลาดโอกาสทำกำไรทำให้เกิดการตัดสินใจที่ขาดการวางแผนที่ดี โดยเทรดเดอร์บางรายอาจจะตัดสินใจเปิดหรือปิดออเดอร์เพียงเพราะกลัวว่าหากไม่ทำในตอนนี้จะพลาดโอกาสทองไป โดยที่ไม่ได้พิจารณาถึงข้อมูลที่แท้จริงและไม่ได้ใช้การวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล
อารมณ์ที่ทำให้เกิด FOMO ในการเทรด Forex อาจแบ่งออกได้เป็น:
1.ความกลัว: กลัวพลาดโอกาสในการทำกำไรหากไม่ลงทุนในช่วงเวลานั้น
2.ความโลภ: ต้องการทำกำไรให้มากที่สุด จึงไม่อยากพลาดโอกาสที่เห็นคนอื่นทำกำไรได้
3.ความใจร้อน: รีบร้อนตัดสินใจเทรดโดยไม่วางแผนหรือการวิเคราะห์ที่ชัดเจน
4.การขาดความมั่นใจ: ไม่มั่นใจในแผนการเทรดของตัวเองและมักจะเทรดตามกระแสหรือคำแนะนำจากคนอื่น
FOMO อาจทำให้การเทรด Forex กลายเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ และขาดการวางแผนที่ดีในระยะยาว ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนได้
ผลกระทบของ FOMO ต่อการเทรด
-การเทรดตามกระแสโดยขาดแผนรองรับ - นักลงทุนมักกระโจนเข้าซื้อเมื่อเห็นราคาพุ่งสูงเพียงเพราะกลัวโอกาสจะหลุดมือ โดยไม่คำนึงว่าอาจกำลังซื้อในจุดสูงสุดของตลาด
-ปิดออเดอร์ก่อนเวลาอันควร - ด้วยความกังวลว่ากำไรจะหายไป นักเทรดจำนวนมากเลือกขายพอร์ตเร็วเกินไป จนพลาดโอกาสทำกำไรในระยะยาว
-วงจรขาดทุนซ้ำซาก - เมื่อตกอยู่ในภาวะ FOMO บ่อยครั้ง จะทำให้เทรดเดอร์ขาดความมั่นใจ ไม่อดทนถือพอร์ตตามแผนที่วางไว้ สุดท้ายก็ขาดทุนต่อเนื่อง
6 อารมณ์ทำลายล้างจาก FOMO
อาการกลัวพลาดโอกาสนี้มักมาพร้อมกับอารมณ์เชิงลบที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ:
-ความโลภ - ต้องการกำไรแบบเร็วๆ โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง
-ความกลัว - กังวลว่าตลาดจะพลิกผันจนไม่กล้าตัดสินใจ
-ความเร่าร้อน - ต้องการเอาชนะตลาดให้ได้ในทันที
-ความอิจฉา - รู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็นนักเทรดคนอื่นได้กำไร
-ความใจร้อน - ขาดความอดทนรอสัญญาณการเทรดที่เหมาะสม
-ความกังวล - ครุ่นคิดมากเกินไปจนตัดสินใจผิดพลาด
หากคุณไม่รู้เท่าทัน FOMO ในการลงทุน อารมณ์เหล่านี้อาจกลายเป็นตัวเร่งให้คุณขาดทุนอย่างไม่รู้ตัว การเข้าใจและจัดการกับ FOMO จึงเป็นทักษะสำคัญที่นักลงทุนยุคใหม่ต้องมี เพื่อให้สามารถเทรดอย่างมีสติและยืนระยะในตลาดได้อย่างยั่งยืน
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด FOMO ในตลาดการเงิน
FOMO หรือ "Fear of Missing Out" เป็นภาวะทางอารมณ์ที่พบได้บ่อยในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่าแรงกระตุ้นภายนอกบางอย่างอาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด FOMO ในตลาดการเงิน และส่งผลให้ตัดสินใจผิดพลาดจนเกิดการขาดทุน เรามาดู 5 ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิด FOMO กัน
1. ตลาดผันผวน
เมื่อราคาสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนจำนวนมากมองว่านี่คือ “โอกาสทอง” แต่ในความจริง ช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนกลับเป็นกับดักของ FOMO สำหรับหลายคน ความกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว ทำให้รีบซื้อขายโดยขาดการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
2. ชัยชนะครั้งก่อน
การประสบความสำเร็จในการลงทุนครั้งก่อน อาจสร้างความมั่นใจเกินจริง เทรดเดอร์บางคนเริ่มคิดว่าตนเอง “เข้าใจตลาดแล้ว” และเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว ความมั่นใจแบบนี้อาจกลายเป็นแรงผลักให้ตกหลุมพราง FOMO โดยไม่ทันสังเกต
3. การขาดทุนซ้ำซาก
หลังจากประสบกับการขาดทุน นักลงทุนมักกลับเข้าสู่ตลาดด้วยความลังเลและกลัวจะพลาดอีกครั้ง ความรู้สึกไม่มั่นใจนี้สามารถกระตุ้น FOMO ได้อย่างง่ายดาย จนนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดเหตุผล
4. ข่าวและข่าวลือ
ข่าวเศรษฐกิจหรือข่าวลือที่แพร่กระจายรวดเร็วในโลกออนไลน์ มักทำให้นักลงทุนรีบตัดสินใจโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน การลงทุนที่ขาดการยืนยันข้อเท็จจริงจึงมักนำไปสู่ภาวะ FOMO และการขาดทุนตามมา
5. โซเชียลมีเดีย
โพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ที่แสดงความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง มักกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยาก “ทำได้เหมือนเขา” ความเปรียบเทียบทางสังคมแบบนี้สามารถจุดประกาย FOMO ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่คุณไม่ทันรู้ตัว
4 เคล็ดลับหลีกเลี่ยง FOMO ขณะเทรด ที่นักลงทุนมือใหม่ต้องรู้
FOMO หรือ Fear of Missing Out คือหนึ่งในอารมณ์ที่ทำให้นักลงทุนหลายคนตัดสินใจผิดพลาดในการเทรด โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวนหรือมีข่าวแรงๆ การรู้จักควบคุมอารมณ์และเทรดอย่างมีวินัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ นี่คือ 4 เคล็ดลับหลีกเลี่ยง FOMO ที่จะช่วยให้คุณลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืน
1. อย่าร้อนวิชา รีบเชื่อข่าวลือ
หนึ่งในพฤติกรรมที่ผลักให้เกิด FOMO คือการตัดสินใจลงทุนตามข่าวลือหรือคำแนะนำของผู้อื่นโดยไม่ตรวจสอบ ความเร่งรีบมักทำให้คุณมองข้ามข้อมูลสำคัญ ดังนั้น ควรหาข้อมูลรอบด้านก่อนลงทุน และอย่าปล่อยให้ความเร่าร้อนมากำหนดการตัดสินใจ
2. วางแผนการเงินให้ชัดเจน
การมีแผนทางการเงินที่ชัดเจน เช่น กำหนดเป้าหมายการลงทุนในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่รับได้ จะช่วยให้คุณมีหลักยึด ไม่หวั่นไหวไปตามกระแส ยิ่งคุณยึดมั่นกับแผนการลงทุนของตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งลดโอกาสตกหลุมพรางของ FOMO ได้มากขึ้น
3. เอาชนะอคติส่วนตัว
ในการเทรด เรามักมีอคติทางความคิดโดยไม่รู้ตัว เช่น Confirmation Bias หรือการหาข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อของตัวเองเพียงด้านเดียว รวมถึง Overconfidence หรือความมั่นใจเกินเหตุ การยอมเปิดใจรับข้อมูลที่ขัดแย้งกับความคิดเดิม และหมั่นประเมินการตัดสินใจของตัวเองอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างมีเหตุผลมากขึ้น
4. มองไกล ไม่หวังรวยเร็ว
การหวังผลตอบแทนจากการเทรดเพียงครั้งเดียวคือกับดักที่ FOMO ชอบซ่อนตัวอยู่ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวมักไม่เน้น “จังหวะทอง” แต่ใช้เวลา ค่อยๆ สะสมความมั่งคั่งจากวินัยและการมองการณ์ไกล
3 ยาป้องกัน FOMO สำหรับนักลงทุนมือใหม่
1. ลงทุนแบบมีวินัยและเป็นระบบ
การลงทุนที่ดีควรเริ่มจาก “แผน” ไม่ใช่ “อารมณ์” กำหนดจุดทำกำไร จุดตัดขาดทุน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การมีระบบที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณไม่ตัดสินใจเพราะความรู้สึกชั่ววูบ และสามารถอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว
2. กระจายการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง
อย่าทุ่มเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว การกระจายพอร์ตไปในสินทรัพย์หลากหลายที่ไม่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน จะช่วยลดโอกาสขาดทุนพร้อมกันทั้งพอร์ต และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง
3. เริ่มจากการลงทุนระยะยาว
นักลงทุนมือใหม่ควรเน้นลงทุนแบบระยะยาวเพื่อสะสมประสบการณ์ ไม่ควรเน้นเทรดสั้นๆ ในช่วงแรก เพราะจะทำให้คุณเสี่ยงตกอยู่ในภาวะเครียด และมักจะนำไปสู่อาการ FOMO ได้ง่าย นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวมักเปรียบการลงทุนเหมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร
FOMO มีข้อดีอย่างไร?
แม้ว่า FOMO (Fear of Missing Out) หรือการกลัวพลาดโอกาสจะดูเหมือนเป็นอารมณ์ที่ต้องคอยไล่ตามกระแสใหม่ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่จริงๆ แล้ว FOMO ก็มีข้อดีบางอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
1. กระตุ้นแรงจูงใจ
FOMO สามารถกระตุ้นให้เราอยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือโอกาสที่เกิดขึ้นทันที ความกลัวที่จะพลาดสิ่งดีๆ นี้ทำให้เรามีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเองและคว้าสิ่งที่ดีที่สุดไว้ในมือ
2. เพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและทางสังคม
การกลัวว่าจะตามข่าวไม่ทันหรือไม่รู้เท่าคนอื่นสามารถเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมได้มากขึ้น อาจทำให้เรามีการพูดคุย หรือร่วมกิจกรรมกับคนรอบข้างมากขึ้น สร้างโอกาสในการเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
3. มีโอกาสทำสิ่งใหม่ๆ
FOMO ทำให้เราไม่กลัวที่จะลองทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย และออกจากกรอบเดิมๆ บางครั้งการตัดสินใจเพราะความกลัวพลาดสามารถผลักดันให้เราก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง และลองสิ่งใหม่ๆ ที่อาจจะเป็นโอกาสสำคัญในอนาคต
ดังนั้น แม้ว่า FOMO อาจจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่รอบคอบในบางครั้ง แต่หากเราควบคุมและใช้มันในทางที่ดี FOMO ก็สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนในการเติบโตและพัฒนาตนเองได้อย่างไม่รู้ตัว
สรุป FOMO คืออะไร และทำไมเราต้องรู้เท่าทันมันก่อนลงทุน FOMO หรือ Fear of Missing Out ไม่ใช่แค่ความกลัวตกเทรนด์ แต่มันคือพฤติกรรมที่เกิดจากแรงกดดันทางสังคม อารมณ์ และความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล ในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะการเทรดระยะสั้น FOMO คือศัตรูเงียบที่สามารถบ่อนทำลายแผนการลงทุนได้โดยที่เราไม่รู้ตัว
หลายคนเผลอทำตามฝูงชน รีบซื้อ รีบขาย เพียงเพราะไม่อยากพลาดโอกาสที่คนอื่นกำลังได้กำไร แต่ถ้าคุณ “รู้ทัน FOMO” และเรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ คุณก็จะสามารถตัดสินใจอย่างมีสติ และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างยั่งยืน
ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจกระโดดเข้าลงทุนในหุ้น คริปโต หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ลองหยุดและถามตัวเองสักนิดว่า “ฉันกำลังลงทุน... หรือแค่กลัวจะพลาด?” แล้วคุณจะเริ่มเข้าใจว่า FOMO ไม่ใช่แค่คำแฟนซีในโลกออนไลน์ แต่มันคือกับดักทางจิตวิทยาที่ทุกคนต้องเรียนรู้และเอาชนะให้ได้
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
DYOR แปลว่า “ทำการวิจัยด้วยตนเอง” เรียนรู้ว่าเหตุใดการวิจัยอิสระจึงมีความสำคัญต่อการลงทุนอย่างชาญฉลาด การจัดการความเสี่ยง และการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มีค่าใช้จ่ายสูง
2025-04-24การคาดการณ์ราคาเงินในปี 2025 พร้อมข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ เรียนรู้ว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจอาจส่งผลต่อตลาดอย่างไร และถึงเวลาซื้อสำหรับปี 2025 และปีต่อๆ ไปหรือไม่
2025-04-24สำรวจความแตกต่างระหว่างระดับ Camarilla Pivots และ Fibonacci เพื่อพิจารณาว่าวิธีใดให้ความแม่นยำมากกว่าสำหรับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ
2025-04-24